วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

1 วันดีๆกับกิจกรรม Relax day & Night at Phothalai with Wongnai



ไปร่วมกิจกรรมกับ Wongnai มาอีกแล้วค่ะ หนนี้ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะของ Elite แต่เป็นสำหรับสมาชิกทั่วไปของทั้ง Wongnai(กิน)และ Wongnai Beauty ตอนที่วงในส่งเมลมาชวนเรายังไม่แน่ใจเลยว่าชวนมาจากApp ไหน กิจกรรมเขียนไว้กว้างๆว่าชิมอาหาร ฟิตเนส กอล์ฟ สปาDIY ที่โพธาลัยกับช่วงเวลากว้างๆไม่มีตารางงาน
แต่วงในซะอย่างไปที่ไหนก็อิ่มอร่อยแน่นอน คิดได้แบบนั้นแล้วก็กดลงทะเบียนเลยค่ะ หนนี้พาผู้ติดตามไปได้ 1 คน ก็พกแฟนไปถ่ายรูปสวยๆมาลงรีวิวค่ะ
มาทำความรู้จักสถานที่ที่เราจะไปทำกิจกรรมกันก่อน
โพธาลัย เลเชอร์ ปาร์ค (Phothalai Leisure Park) เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจขนาดใหญ่ครบวงจร เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว มีทั้งสนามไดรฟ์กอล์ฟระดับ 6 ดาว นวดแผนไทย สปา ฟิตเนส ต่อยมวย เครื่องเล่น F1 จำลอง ร้านอาหาร นอกจากนั้นยังมีบริการจัดเลี้ยงด้วยค่ะ เข้าไปดูข้อมูลในเวปไซท์ก่อนไป หรูหราทีเดียว 

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รีวิวร้านอาหาร Birdie 'n Courtyard ณ โพธาลัยเลเชอร์ปาร์ค

กิจกรรม Relax day & night at Phothalai with Wongnai


หลังจากที่ไปทานมื้อเที่ยงที่ ทาเวิร์นนา (Taverna) และทำกิจกรรมไดรฟ์กอล์ฟ ขับ F1 ทำสปา DIY แล้วก็มาต่อกันด้วยมื้อเย็นที่ Birdie 'n Courtyard ค่ะ
Birdie 'n Courtyard world eatery & Gastro market เป็นร้านอาหารแบบฟิวชั่นอยู่ในโพธาลัยโซนกอล์ฟ เป็นอาคารขนาดใหญ่ 2 ชั้น โดดเด่นใกล้ๆน้ำพุและน้ำตก โดยชั้นล่างเป็นกระจกสามารถนั่งทานไปดูวิวไปได้เลยค่ะ ตอนค่ำๆจะมีการแสดงน้ำพุพร้อมแสงสีประกอบด้วย
ช่วงกลางวัน

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ทาเวิร์นนา (Taverna) ห้องอาหารจีนในโพธาลัยเลเชอร์ปาร์ค



เราได้ไปกิจกรรม Relax day & night at Phothalai with Wongnai มาค่ะ (22.11.2014)

โพธาลัยเลเชอร์ปาร์ค เป็นสถานที่ที่รวมหลายๆกิจกรรมสำหรับวันพักผ่อนไว้ด้วยกันเลย มีทั้ง กอล์ฟ สปา นวด ฟิตเนส boxing F1 และร้านอาหาร และในวันนี้เราก็ไปลองหลายๆกิจกรรมในโพธาลัยมา หนึ่งในนั้นคือการชิมอาหารที่ห้องอาหารจีนทาเวิร์นนา (Taverna)



ห้องอาหารจีน ทาเวิร์นนา (Taverna) นี้ อยู่โซนกอล์ฟด้านใน โดยห้องอาหารตั้งอยู่แยกต่างหากในสวน ให้ความรู้สึกสบายๆ ทานอาหารไปดูวิวสวนไป รวมถึงสามารถดูการแสดงน้ำพุบริเวณใกล้ๆร้านนี้ในตอนกลางคืนด้วย

โต๊ะส่วนมากเป็นโต๊ะจีนค่ะ มี 5 โต๊ะ และมีโต๊ะเล็กสำหรับ 2 คนอยู่ริมกระจก ถึงจะเป็นกระจกล้อมรอบร้านแต่ในร้านไม่ร้อนนะ แอร์สู้มาก เราทานมื้อกลางวันอยู่ในร้านเย็นสบายๆ มีเพลงจีนเปิดคลอเบาๆเสริมบรรยากาศ ที่ชอบมากๆคือเพดานแบบสูง โปร่งตาไม่อึดอัด


อาคารฝั่งตรงข้ามถ่ายละครอยู่ด้วย ได้เจอดาราหลายๆคนเป็นของแถมในการมาทานวันนี้ค่ะ ^^ ที่นี่ใหญ่ๆครบวงจร เลยมีละครมาถ่ายทำบ่อยๆ...ไม่มีรูปดารามาฝากนะคะ มุ่งมั่นกับการกิน อิอิ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Fly me to Jeju - Part 6 ช๊อปๆๆ และยงดูอัมร็อค โขดหินรูปมังกร -

ตอนที่แล้ว Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 5 ซอฟจิโกจิ พุลโกกิ Pony Valley หมู่บ้านวัฒรธรรมซองอับ -

ศูนย์โสม

ตามที่บอกไว้หนก่อนว่าต่อไปเราจะไปเสียเงินกันรัวๆค่ะ เริ่มกันที่ศูนย์โสมเลย จะไปโซลหรือเจจูก็เจอศูนย์โสม โสมที่ขายที่นี่เป็นโสมอายุ 6 ปีกินแล้วไม่ร้อนค่ะ กรรมวิธีขายเหมือนเดิม บรรยายสรรพคุณให้ชิมและบอกโปรโมชั่น ใครสนใจก็ซื้อได้เลยราคาไม่แรงเท่าสนเข็มแดง

Midam Cosmetic

ขับรถมาอีกนิดเดียวก็มาถึงศูนย์เครื่องสำอางค์ Midam นี่ก็มีทั้งโซลทั้งเจจูเช่นกันค่ะ คสอ.ตัวดังๆคือครีมน้ำแตก, BB cream, ครีมขัดผิว ของDR.MJ, Closee พวกนี้โปรโมชั่น 6 ชิ้น 190,000 วอนพร้อมของแถม นอกจากนี้ก็มีแป้งม้าโยก (ถ้าแบบแป้งฝุ่นราคาขายแพ๊ค 3 ตลับ 29,400 บาท) และอื่นๆอีกนิดหน่อยค่ะ เล็กกว่าโซลแต่ตัวหลักก็ก็มีครบ ซื้อแค่ตัวหลักก็ได้ ส่วนที่เหลือไปซื้อจุดอื่นต่อจะหลากหลายกว่า

หมูย่างคาลบี้ (Kalbi)

จับจ่ายไป 2 ที่ก็จบวันนี้ด้วยเมนูหมูย่างชิ้นใหญ่ๆที่มาพร้อมกับกรรไกรเพื่อตัดให้พอดีคำ ถ้าเป็นที่โซลเมนูนี้จะอยู่ก่อนไปเอเวอแลนด์ค่ะ กลิ่นแรงแต่อร่อยมาก รสเข้มข้น แต่ที่เกาะเจจูนี่คาลบี้คนละสูตรกันเลย ค่อนข้างจืดแถมยังต้มมาแล้วอีกต่างหาก พอเอามาย่างอีกเนื้อหมูเลยแห้งเกินไป หมูนี่จะมาพร้อมไขมันที่หนามากๆๆๆๆๆ บางชิ้นมีแต่มัน ถ้าไม่ชอบก็ตัดทิ้งค่ะไม่ต้องกิน แต่แนะนำให้ย่างพร้อมๆกันก่อน ถ้าย่างแบบไร้มัน เนื้อหมูจะแห้งมากๆ


วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 5 ซอฟจิโกจิ พุลโกกิ Pony Valley หมู่บ้านวัฒรธรรมซองอับ -


ตอนที่แล้ว Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 4 ภูเขาซองซาน อิลซุงโบล -

ซอฟจิโกจิ

ไปต่อกันที่ ซอฟจิโกจิค่ะ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ติดทะเลและมีประภาคารด้วย ตรงนี้เคยถ่ายซีรี่ส์ F4 เกาหลี (Boys over flowers) ด้วยค่ะ มาถึงอย่างแรกเลยที่ไกด์แนะนำคือ หมึกลมเดียวค่ะ หมึกตัวโตปิ้งบนหินภูเขาไฟ (เฉพาะร้านแรกเนี่ยค่ะ ที่ปิ้งบนหิน) ซื้อแล้วกินเลยค่ะ เพื่อความอร่อย

อร่อย!!! ชิ้นใหญ่ๆ ได้รสชาติ

ลิบๆนู่นคือประภาคารค่ะ ไกด์แนะนำว่าไม่ต้องเดินไปเพราะไม่ค่อยมีอะไร เราก็ขี้เกียจเดินเลยเดินดูระหว่างทางนิดเดียว แต่ถ้าใครมาช่วงหน้าร้อนที่มีดอกไม้ใบไม้เยอะๆ ลองเดินไปดูนะคะ เคยเห็นในบางรีวิวจะมีทุ่งดอกไม้ให้ถ่ายกับอาคาร สวยดีเหมือนกัน

Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 4 ภูเขาซองซาน อิลซุงโบล -

ตอนที่แล้ว Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 3 วัดซันบังซา - ภูเขาซองอัค - น้ำตกซอนเจยอน -
โอซัมพุลโกกิ
มื้อเย็นของวันแรกมีชื่อว่า โอซัมพุลโกกิ หรือก็คือเนื้อหมูและปลาหมึกย่างบาร์บีคิวหมักพร้อมนน้ำซุปขลุกขลิกรสหวานๆเค็มๆค่ะ อร่อยหรอกนะคะ แต่ปลาหมึกเหนียว ส่วนหมูเค้ามันมากและก็ยังมีขนติดที่หนังด้วยค่ะ ถอนไม่เกลี้ยง ตอนกินเลยลำบากหน่อยเพราะเราไม่กินทั้งมันทั้งขนนั่นหละ  ต้องหั่นออกค่ะ เครื่องเคียงมื้อนี้มีปลาหวานสีส้มๆเนี่ยค่ะ อร่อย 
โอซัมพุลโกกิ 

ที่ร้านนี้ไกด์แนะนำปลาชนิดนึงค่ะ เค้าจะให้สั่งไว้ตั้งแต่ก่อนมาเพื่อให้ครัวเตรียมไว้ให้ก่อน โดยลูกทัวร์ที่สั่งต้องจ่ายเพิ่มเองค่ะ รสชาติ(ฟังจากที่เค้าเล่ามาเราไม่ได้กิน) คล้ายปลาซาบะค่ะ บางคนกินไม่หมดต้องห่อกลับบ้านเหมือนจะไม่ค่อยถูกปากค่ะ 

ร้านนี้อยู่ในโซนที่เหมือนคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ค่ะ เดินออกจากร้านไปก็เจอตึกร้านค้าอีกหลายตึก มีร้านกาแฟ มินิมาร์ท  Nature republic dunkin donut สังเกตุว่าจะเจอ Dunkin แทบทุกที่เลย เค้าฮิตมาก เมนูหลากหลายกว่าบ้านเรา

Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 3 วัดซันบังซา - ภูเขาซองอัค - น้ำตกซอนเจยอน -

 

ต่อจากตอนที่แล้ว
Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 2 Hello Kitty Island Jeju & พิพิธภัณฑ์ชา Osulloc -

ทัวร์นี้แจกน้ำให้ให้วันละขวดค่ะ น้ำนี่ประมาณ 1,000วอนหรือ 30 บาทนั่งเอง สูงนิดนึงเพราะเป็นน้ำแร่ค่ะ เค้าบอกว่าน้ำที่นี่ทั้งหมดไม่ว่าจะน้ำขวด น้ำก๊อก จะเป็นน้ำแร่ทั้งหมด
ที่ต่อไปเข้าวัดกันบ้างค่ะ วัดซันบังซา ณ เขาซันบัง
วัดนี้เราเข้าได้เฉพาะโซนด้านหน้าและทางขวาเท่านั้น ส่วนโซนด้านในเข้าได้เฉพาะคนเกาหลี คนนิยมมาขอพรกัน โดยเฉพาะขอเรื่องโรคภัยไข้เจ็บจะได้ผลดีอย่างเห็นชัด ส่วนห้องใกล้ๆองค์พระขอบุตรได้ดี (เค้าว่างั้นนะ) 


ถึงจะบอกว่าวัดอยู่บนเขา แต่ก็ขึ้นไปนิดเดียวค่ะ มองไปทางขวาจะเห็นวิวทะเลที่สวยมากๆด้วย ข้ามถนนไปดูก็ได้มีลานให้ชมวิวและถ่ายรูปอยู่


วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 2 Hello Kitty Island Jeju & พิพิธภัณฑ์ชา Osulloc -


At สนามบินเกาะเจจู

10.00น. เกาหลี (08.00น.ไทย) เครื่องไม่ได้จอดเทียบงวงค่ะ ต้องขึ้น shuttle bus ต่อไปอีก พอก้าวขาออกจากเครื่องบินปุ๊บ ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของอากาศและละอองฝนบางๆที่มาปะทะหน้าเลย คุณแฟนเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นรถคันแรกไปค่ะ รถเต็มซะก่อนที่เหลือ 9 คนเลยต้องตามไปคันที่ 2 ซึ่งปรากฏว่าคันที่ 2 นี้กว่าจะไปถึงตัวอาคารใช้เวลาเยอะมากๆ เพราะว่าที่นี่รถเค้าไม่วิ่งเลียบอาคารเหมือนสุวรรณภูมิ แต่วิ่งตัดกลางทางเลย เลยต้องจอดให้เครื่องบินผ่านหน้าเพื่อเทียบงวงอยู่เป็นระยะ
ไปถึงสิ่งแรกที่เจอที่อาคารคือ คุณแฟนค่ะ 555+ ยืนรอจนนึกว่าเราไปอาคารอื่นกันแล้ว คนไทยคนอื่นที่ลงมาด้วยกันก็ผ่านด่านไปไกลแล้วค่ะ ตอนนี้เราเลยต้องมาผจญคนจีนแทน เนื่องจากเกาะเจจูใกล้กับจีนมาก เลยมีคนจีนมาเที่ยวเยอะเลย สัดส่วนนักท่องเที่ยวก็ประมาณ คนจีน80% คนไทย 10% และอื่นๆ 10% ค่ะ
เราเจอข้อเสียอย่างแรกของทัวร์นี้ก็ตอนมาถึงสนามบินนี้ล่ะค่ะ หนก่อนเราไปเที่ยวโซล มีหัวหน้าทัวร์เดินทางมาด้วย พอมาถึงสนามบินปุ๊บเค้าจะแนะนำก่อนว่าต้องเตรียมตัวยังไง จะเจอกับอะไรบ้าง อะไรที่ตม.ชอบถาม ถ้าติดตม.เข้าห้องเย็นจะทำยังไงต่อ แต่มาหนนี้ไม่มีหัวหน้าทัวร์บินมาด้วยค่ะ(มีไกด์มาซักคนมั้ยอาจจะมีค่ะไม่แน่ใจ เพราะไม่มีใครมาคุยด้วย และไม่มีใครอยู่เช็คจนคนครบนะคะ) เราต้องพาตัวเองออกไปให้ถึงข้างนอกเพื่อไปเจอไกด์ประจำบัสเราค่ะ

Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 1 จากสุวรรณภูมิสู่เกาะเจจู -



อยากไปเที่ยวต่างประเทศแต่งบน้อย จะหาตั๋วเครื่องบินถูกๆที่พักถูกๆแล้วหาคู่มือตะลอนเองก็ไม่สะดวก แล้วมีที่ไหนมั้ยที่จ่ายแค่หมื่นต้นๆแต่ได้พร้อมทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก อาหารแถมมีคนพาเที่ยวด้วย?
คำตอบของหลายๆคนตอนนี้คงเป็น "เกาะเจจู" ค่ะ ด้วยราคาแค่ 9,990 – 13,900 บาทได้ทัวร์บินตรง 3 วัน 2 คืนเต็มๆ ดูยังไงก็คุ้ม ไปเที่ยวทัวร์ในประเทศบางทียังแพงกว่านี้เลย

นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกาะเจจูฮิตมากกกกในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แถมยังมีแรงหนุนจากซีรี่ย์เกาหลีหลายๆเรื่องอีก แต่กลับมีรีวิวออกมาไม่เยอะนัก(หรือเราอาจจะเสิร์ชไม่เจอเอง 555+) ไม่เป็นไรจะมีรีวิวเยอะหรือไม่เยอะ วันนี้เราก็จะมาร่วมด้วยช่วยรีวิว เผื่อสำหรับเพื่อนๆที่สนใจอยากไป แต่ไม่มั่นใจว่าทำไมถูกจัง ราคานี้มันจะแย่มั้ย มีอะไรให้บ้าง มาดูกันเลยค่ะ

จะพยายามเขียนให้ละเอียดเท่าที่ความทรงจำปลาทองนี้จะจำได้นะคะ เผื่อสำหรับคนไม่เคยไปตปท.หรือไม่เคยไปกับทัวร์ด้วย ถ้ายาวเวิ่นเว้อเกินก็ข้ามไปอ่านตรงที่สนใจเอาละกันเนอะ ตกหล่นหรือข้อมูลผิดพลาดอะไรแจ้งได้เลยค่ะ จะได้แก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นประโยชน์ที่สุด ^^

กำเนิดทัวร์
เริ่มกำเนิดทัวร์นี้เพราะพ่อเราอยากไปดูใบไม้แดงค่ะ ตอนหาข้อมูลก็ค่อนข้างสับสน บางรีวิวบอกว่าใบไม้เปลี่ยนสีตอนปลายพฤศจิกายน บางคนบอกต้นเดือน คนขายทัวร์บอกปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน สุดท้ายด้วยข้อมูลที่(ไม่ค่อย)มีและวันลาที่จำกัดเราเลือกเดินทาง 1 – 4 พฤศจิกายนค่ะ ซึ่งขอขีดเส้นใต้ตัวหนาๆไว้ตรงนี้เลยว่า

“ต้นเดือนพฤศจิกายนที่เกาะเจจูประเทศเกาหลีใต้ ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีชัวร์”
และจะเปลี่ยนสีตอนปลายเดือน (ตามคำบอกเล่าของไกด์ที่เกาหลีค่ะ)

ตอนเราไปอากาศที่เกาะเจจูประมาณ 14 – 18 องศาลมแรงเพราะเป็นเกาะ และคาดว่าจะมีฝนตกในวันที่ 2 ด้วยค่ะ อากาศใกล้เคียงกับปักกิ่งตอนเดือนเมษายนที่เคยไป
วันเดินทาง

ครอบครัวเราไปกัน 10 คนค่ะ ตรวจพาสปอร์ตซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วก็มุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิเลย ทัวร์นัดเวลา 5 ทุ่มแต่เราไปก่อนเวลากันรถติด ไปถึงก็หาที่นั่งแล้วก็ไปตุนเสบียงกันซักหน่อย เพราะเที่ยวบินนี้มีให้แค่ขนมไม่มีอาหารและมื้อแรกที่เจจูจะเป็นมื้อเที่ยงเลย เดินลงไปที่ชั้น2 จะมี familymart อยู่ติดกับ Boots และร้านหนังสือค่ะ ขาดเหลือลืมอะไร ซื้อเอาตรงนี้ได้เลย ตัวแปลงปลั๊กไฟก็มี (แต่แพง)



5 ทุ่มได้เวลาก็เดินไปรับเอกสารจากทัวร์ ตรวจเช็คและเซ็นต์ชื่อให้เรียบร้อย ถ้าเอกสารเค้าพิมพ์มาให้ผิดก็รีบแจ้งนะคะ ของเราโดนพิมพ์ซ้ำแบบกลับหัวกลับหางมา เค้าใช้ลิขวิดลบดื้อๆเลย แต่ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาค่ะ 
บัตรขาออก ขาเข้า เอกสารสถานที่ท่องเที่ยว เข็มกลัดบอกบัสที่เราจะนั่งที่เกาะ

จากนั้นก็เดินไปเช็คอินเอง ถ้ามาเป็นกลุ่มรวมพาสปอร์ตไว้ที่คนเดียวให้ติดต่อคนเดียวก็พอค่ะ ที่นั่งจะได้ติดกัน แล้วก็เข็นของไปชั่งน้ำหนัก ได้ Boarding pass เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินตัวปลิวเข้าโซนด้านในค่ะ
สายการบินที่เราจะไป Eastar Jet

น้องกระต่ายนี่ปกพาสปอร์ตเราเอง น้องซื้อมาฝากจากเกาหลีนี่แหละ
จนท.จะดึงปกออกจากตัวพาสปอร์ต(ดึงแค่ปกหน้า) ดึงรอไว้ก่อนส่งให้จนท.ก็ได้
ตม.ขาออกต้องขึ้นบันไดไปก่อน ด่านแรกตรวจสัมภาระติดตัว วางกระเป๋า เสื้อคลุม เข็มขัด พาสปอร์ต มือถือในตะกร้าแล้วเดินผ่านเครื่องตรวจ (ของที่คนมักเผลอพกมาด้วยก็กรรไกรตัดเล็บอะค่ะ ถือเป็นอุปกรณ์เทียมอาวุธเอาขึ้นเครื่องไม่ได้นะจ๊ะ) จากที่น้องสาวสังเกตุมาหลายรอบเครื่องตรวจตรงกลางจะตรวจเข้มกว่าเครื่องอื่น ต้องไปยืนกางแขนตรวจทั้งตัวแต่เครื่องอื่นไม่ต้อง ไม่รู้ทำไม
ด่านต่อไป ตม.แต่ก่อนต้องตรวจมือเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้มีเครื่องอัตโนมัติด้วยค่ะ ตอนเราไปมีแต่แบบเครื่อง จริงๆอยากตรวจโดยคนมากกว่า อยากได้ตราประทับอะ T_T การใช้งานเครื่องนี้ครั้งแรก งงค่ะ 555+มันจะมีที่กั้น 2 ชั้น ชั้นแรกสแกนพาสปอร์ต แล้วเข้าไปชั้นที่ 2 ถึงจะเป็นสแกนนิ้วกับถ่ายรูปหน้า แต่เราดันคิดถึงการสแกนนิ้วแต่แรกไง ยื่นมือไปสแกนนิ้วตั้งแต่ที่กั้นอันแรกเฉยเลย แล้วมันก็ดันมีช่องแสงเลเซอร์สีแดงๆช่องนึงด้วย ก็นึกว่าใช่อะค่ะ เขินเลย
Duty free & King Power Lounge
ผ่านด่านมาเรียบร้อยก็ถึงโซน duty free แล้วค่ะ เกทที่เราต้องขึ้นคือ D2 จะอยู่ทางซ้ายมือ เดินดูของปลอดภาษีไปเรื่อยๆ แวะห้องน้ำสวยๆเล่นจอ interactive ที่อยู่ด้านหน้าซะหน่อย


แล้วก็ซื้อน้ำหอมมา 1 กล่องเผลอถือมาเลยอีกต่างหาก ณ จุดนี้หากซื้อของแล้วฝากไว้รับขากลับได้ค่ะ แค่แจ้งไฟลท์กลับให้เค้าเท่านั้น เป้าหมายของเราก่อนขึ้นเครื่องในวันนี้คือ King Power Lounge ค่ะ ไปนั่งพักผ่อนหาอะไรหม่ำยามดึกกัน
ติดต่อที่เคาเตอร์ก่อน บัตรดำเลี้ยวซ้าย บัตรทองเลี้ยวขวา

ครอบครัวเรามีบัตรดำ 2 ทอง 1 เลยสามารถเข้าเล้านจ์ได้ 9 คน (บัตรละ 3 คน ถ้าอยากเข้าเพิ่มต้องใช้แต้มแลกค่ะ) แต่เล้านจ์ของบัตร 2 สีจะไม่เหมือนกันนะคะ ของบัตรทองของกินจะน้อยกว่าและบางอย่างต้องเสียเงินซื้อเช่นมาม่า น้ำอัดลม แต่วันนี้เราบินดึก ของกินเลยเหลือน้อยหน่อย ขอบอกอีกอย่างว่าที่ครอบอาหารหนักมากกกกก ยกแทบไม่ขึ้น จนนึกว่าเค้าล็อกไว้ซะอีก
นี่ฟากบัตรดำ
เกทที่จะขึ้นอยู่ใกล้ King power lounge มากค่ะ เผื่อเวลาไว้นิดเดียวพอ ส่วนถ้าใครซื้อของที่ Kingpower นอกสนามบินแล้วต้องมารับด้านในนี้ จุดรับของก็อยู่ใกล้ๆกับ lounge นี่หละค่ะ

บินไปกับ Eastar Jet

เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินเหมาลำไปเจจูค่ะ ทุกคนบนเครื่องเป็นเพื่อนร่วมทัวร์กับเรานี่หละค่ะ แต่เดี๋ยวจะไปแยกบัสกันอีกทีที่เกาะเจจู 1 เที่ยวบินนี่ก็ประมาณ 5 บัสตกบัสละ 35 คน แต่ละคนจะซื้อทัวร์มาจากต่างบริษัทต่างโปรโมชั่นกัน เพราะงั้นถ้าไม่อยากเจ็บใจที่ซื้อแพงกว่า อย่าถามค่ะว่าคนอื่นซื้อมากี่บาท (อัตราความเจ็บใจสูงสุดคาดว่าอยู่ที่ 4,000 บาทนะคะ ส่วนต่างของ 13,990 กับ 9,990)
สายการบินสำหรับบินตรงไปสู่เกาะเจจูของเราในคืนนี้คือ Eastar Jet ตอนขึ้นเครื่องไปตกใจมาก เครื่องเล็กเหมือนสายการบิน low cost บ้านเราค่ะ ที่นั่งแถวละ 6 ที่เว้นทางเดินตรงกลาง เราไม่เคยบินเครื่องเล็กขนาดนี้ออกนอกประเทศ แถมวันนี้ยังได้ที่นั่งเป็นกลุ่มท้ายสุดของเครื่องด้วย (แถวสุดท้ายคือ 31 ค่ะ) ห้องน้ำห้องครัวอยู่ท้ายเครื่องหมดค่ะ ไม่เป็นอันหลับกัน 
ข้อสังเกตุของแอร์และสจ๊วตของสายการบินนี้คือ เดินเร็วมากกกก ถ้ายื่นหัวหรือแขนล้ำไปที่ทางเดินตอนเค้าเดินนี่มีสิทธิ์หัวหลุด (เว่อร์) ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับแบบเป๊ะ ถ้าคุณไม่ทำตามเค้าจะเดินมาเตือนด้วยความเร็วปานพายุนั่นแหละค่ะ และภาษาอังกฤษก็ค่อนข้างฟังยากฟังออกครึ่งๆเอง (ถึงสำเนียงจะดีก็ฟังออกครึ่งๆอยู่ดีค่ะ 555+)
ตอนเครื่องวิ่งบนรันเวย์ได้กลิ่นน้ำมันด้วยเหม็นเลย พอขึ้นบินซักพักระดับคงที่ก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุย แล้วเค้าก็เริ่มเสิร์ฟของว่างเป็น....ขนมปังกับน้ำองุ่น ตามติดมาด้วยน้ำส้มเจจู/น้ำเปล่า แล้วกลิ่นหอมฉุยนั่นมันมาจากไหน งงค่ะ 555+ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ที่มาของกลิ่นนั้น
หลังจากนั้นถ้าหลับลงก็หลับยาวได้เลยค่ะ เค้าจะให้เราปิดหน้าต่างเครื่องไว้ เพราะบินไปซักพักจะเริ่มเป็นเวลาเช้าแสงที่ส่องเข้ามานี่จ้ามาเหมือนโดนยิงเลเซอร์
วันนี้เครื่องโคลงเคลงเยอะหน่อยเพราะสภาพอากาศไม่ดีค่ะ เมฆหนาทึบจะลงจอดอยู่รอมร่อยังมองไม่เห็นตัวเกาะเลยค่ะ เห็นแต่เมฆใจเสียเลยนึกว่าจะไม่ได้เที่ยวแล้ว ตอนแลนดิ้งท้ายสะบัดแรงมากตัวโยนเลยทั้งๆที่คาดเข็มขัดไว้นี่หละ ตอนเครื่องยังไม่จอดดีสัญญาณคาดเข็มขัดยังขึ้นอยู่ กลับมีหลายคนลุกขึ้นมาเปิดที่เก็บกระเป๋าบนหัวค่ะ แอร์พุ่งตัวด้วยความเร็วมาเตือนทันที และประกาศให้นั่งรัดเข็มขัดจนกว่าจะบอกให้ถอดได้ แต่ซักพักก็มีคนลุกขึ้นมาหยิบกระเป๋าอีก!! ไม่ใช่รถทัวร์นะคะ ไม่ต้องรีบลุกมาเอาของลงแต่เนิ่นๆ รอจอดสนิทก๊อนนนน มันอันตรายต่อหัวผู้โดยสารที่ยังนั่งอยู่ค่ะ
ยาวแฮะ ขอจบ Part แรกตรงนี้แล้วกัน เพิ่งถึงเจจู  ^^
แถมๆ
จัดกระเป๋ากันจ้า สิงที่ต้องเตรียมไป 
จัดกระเป๋าไปเกาะเจจู ไม่ต้องเอาแมวไปนะครัช!!
1. พาสปอร์ต บัตรประชาชน เอกสารอื่นๆที่อาจต้องใช้หากติดตม.เช่น ใบรับรองการทำงาน ใบเปลี่ยนชื่อนามสกุลบัตรเครดิต โปรแกรมทัวร์ (ทางทัวร์เตรียมให้) ส่วนวีซ่าไม่ต้องใช้ 

2. เสื้อกันหนาวหรือกันลม แล้วแต่สภาพร่างกายค่ะ ยกตัวอย่าง เราขี้ร้อนทนหนาวได้ระดับนึง เลยเอาเสื้อหนาวแบบไม่หนาไป กลางวันไม่ใส่เสื้อกันหนาวเลย ใส่แค่ตอนเย็นที่อุณหภูมิลดลงเยอะหรือตอนขึ้นเขาที่ลมแรงมากเท่านั้น ส่วนตัวในเสื้อยืดบ้างเสื้อแขน 5 ส่วนบ้าง เพราะเวลาอยู่ในรถหรือร้านอาหารจะร้อนค่ะ เลยเอาแบบไม่หนาเดี๋ยวอึดอัด แม่เราทนหนาวดีเลิศขึ้นเขาลมพัดแรงๆเย็นเฉียบก็ยังใส่แค่เสื้อโปโลกับเสื้อกันลมค่ะ(แต่ตอนแม่ไปประเทศอื่นเจอหิมะบางๆก้ใส่แค่นี้นะ ไม่น่าใช้อ้างอิงได้555+) ส่วนถ้าคนขี้หนาวอยากใส่โค้ทหนาไปแต่กลัวดูเว่อร์ ไม่ต้องกลัวค่ะเพราะมีคนใส่แบบนั้นเยอะอยู่เหมือนกัน

3. เสื้อกันฝน/ร่ม  ถ้าพยากรณ์อากาศมีฝนก็ติดไปหน่อยค่ะ พยากรณ์เดี๋ยวนี้ออกมาค่อนข้างเป๊ะ

4. รองเท้าผ้าใบ เหมาะแก่การเดินขึ้นเขาค่ะ เลือกที่ใส่จนชินสบายเท้านะ ถ้าของใหม่หรือของไม่ใส่นานระวังมันจะกัด อยากชิคไม่อยากใส่ผ้าใบจะใส่บู๊ท...ก็ได้หรอกค่ะ แต่เดินระวังๆเดี๋ยวเท้าแพลง ส้นสูงไหวมั้ย? ถ้าเป็นนาโอมิ แคมเบลใส่ส้นสูงจนชินประหนึ่งเป็นอวัยวะในร่างกาย ใส่อย่างอื่นไม่ถนัดก็จัดไปเลยค่ะ หรือถ้าคิดว่าตัวเองไม่ขึ้นเขาแน่นอน อยากใส่อะไรใส่ค่ะ แหล่งท่องเที่ยวอื่นเดินไม่เยอะทางดี (เขาก็ทางดี แต่เดินเยอะ)

5. ยาสามัญประจำบ้าน แก้ปวดหัวตัวร้อน ปวดท้อง ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย ท้องอืด (น้องสาวแนะนำ pudin) ไปเที่ยวแล้วป่วยจะไม่สนุกเอาค่ะ

6. ซอสปรุงรส น้ำจิ้มสุกี้ พันท้ายนรสิงห์ มาม่าฯ ถ้าเป็นพวกกินยากติดรสชาติไทยๆ พกไปเองดีกว่าจะไปคาดหวังเอาจากไกด์ค่ะ แต่ไหนๆจะไปเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่ๆทั้งที มาถึงถิ่นเค้าก็น่าจะลองกินอาหารของเค้าแบบต้นตำรับดูเนอะ

7. ตัวแปลงปลั๊กสำหรับเสียบกับปลั๊กเกาหลีเป็นปลั๊กแบบหัวกลม ซื้ออันเดียวแล้วแบกรางเสียบปลั๊กไปก็ได้ค่ะ ไม่เปลือง

8. Pocket wi-fi ที่เกาะเจจูมี Wifi free แค่บงที่ค่ะ ที่เจอมาคือบางส่วนของสนามบิน(สัญญาณอ่อน) ที่พัก(เราพัก Hotel J สัญญาณแรงทะลุเกจ) ไร่ชา(สัญญาณเบา) ถ้าอยากออนไลน์ตลอดเวลาต้องเตรียมไปเอง

9. เงินค่าไกด์+คนขับรถ 700 บาทต่อคนเดินทาง 1 คน

10. เงินค่าผู้ช่วยไกด์ (ตากล้อง) เป็นธรรมเนียมของเกาหลีค่ะ ที่จะไม่ค่อยมีคนทำงานให้บริการ แต่กับทัวร์จะมีมาช่วยบริการเสิร์ฟข้าว เติมน้ำ หมู ดูแลเราตลอดทริป แลกกับการที่เค้าจะขอถ่ายรูปเราแล้วเอารูปมาขายในราคาใบละ 5000 วอน (ถ้าจ่ายเงินไทยคิด 160บาท) ซึ่งสวยมั้ย?ไม่สวย แพงมั้ย?แพง กล้องเราก็มีสวยกว่าเค้าอีก แต่นี่เป็นค่าตัวเค้าค่ะไม่ใช่แค่ค่ารูป เราเลือกได้ว่าจะซื้อกี่ใบหรือไม่ซื้อเลย เป็นสินน้ำใจตอบแทนที่เค้าดูแลเราตลอดทริป เค้าจัดรูปเสนอขายเป็นครอบครัวหรือเป็นคู่ค่ะ คู่เราได้มา 10 รูป ตกคนละ 800 บาท ก็ซื้อหมดค่ะ เพราะเค้าไม่มีค่าจ้างส่วนอื่น นี่คืรายได้ของเค้าตลอด 3 วันที่อยู่กับเราแถมที่ได้ไปนี่ยังโดนหักค่าหัวด้วยไม่ได้ได้เต็มๆนะ (สาบานจริงๆว่าการแต่งหล่อมาในวันขายรูปไม่มีผลกับปริมาณรูปที่ซื้อ 555+)

11. เงินช๊อปปิ้ง + เงินซื้อของกินเล่นรายทาง + เงินฝากช๊อป มาเกาหลีถ้ามีเพื่อน/ญาติผู้หญิง ไม่พ้นจะต้องโดนฝากซื้อเครื่องสำอางค์แน่นอนค่ะ เตรียมไปให้พอ แนะนำให้แลกเงินที่ superrich ได้เรทดีกว่าธนาคารค่ะ ถ้าไม่พอรูดการ์ดได้แต่เรทจะสูงกว่า ค่าเงินที่เราแลกมาคือ 0.031 ค่ะ แปลว่า 1,000 วอน = 31 บาท

12. ลิสต์รายการที่ต้องซื้อ โดยเฉพาะเครื่องสำอางค์ ปริ๊นรูป+ชื่อสินค้า+เบอร์+จำนวนมาเลยค่ะ พนง.ช่วยหาได้ ที่นี่ร้านน้อยกว่าโซล คนจะไปแออัดพร้อมกันค่ะ เตรียมไปก่อนจะได้รวดเร็ว

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Coffee Cat - Cat Cafe' เล็กๆแต่น่าไปในเมืองทอง -

The Coffee Cat cafe' & Bakery

คาเฟ่แมวที่อื่นเราดั้นด้นไป ส่วนคาเฟ่นี้มาเจอโดยบังเอิญค่ะ ตอนมาช๊อปที่เมืองทองแล้วเข้า app wongnai หาข้าวกิน ก็มีชื่อร้านนี้โผล่ขึ้นมา ไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆว่ามีคาเฟ่แมวที่นี่ค่ะ พอช๊อปเสร็จเลยใช้ที่นี่เป็นที่พักผ่อนไปด้วยในตัว
การเดินทาง

ร้านเป็นร้านคูหาเดียว ตั้งอยู่ในโครงการ sukhothai ave 99 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) ถ้าขับรถเข้ามาทางหน้าหมู่บ้าน ก็ขับเลยมสธ. มาสักพัก และให้สังเกตทางด้านขวาใกล้กรมที่ดิน จะเห็นป้ายว่า sukhothai ave 99 ชัดเจนค่ะ ร้าน The Coffee Cat จะอยู่ด้านในตรงกับช่องทางรถเข้าพอดีค่ะ
เปิด 10.00 - 20.00 น. หยุดทุกวันจันทร์นะคะ
ร้านป้ายไม่ค่อยเด่น สังเกตุฟิตเนสขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับร้านทางขวาแทนก็ได้ค่ะ ตัวร้านที่ลูกค้านั่งได้มีเฉพาะชั้น 1 ส่วนชั้น 2 คงไว้ให้แมวพัก เข้าไปก็ไปเจอป้ายกฏกติกาสำหรับคาเฟ่แมวตามปกติ เปลี่ยนรองเท้า ล้างมือด้วยเจล แล้วเข้าไปนั่งได้เลยค่ะ 

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อิ่มอร่อยได้ลุ้นเที่ยวด้วย กับบาร์บีกอนท่องโลก


อิ่มอร่อยพร้อมลุ้นไปเที่ยวกับบาร์บีกอนท่องโลก
ขอบคุณ Wongnai ค่ะ

**โปรนี้หมดเขต 9 พ.ย.2014**

บาร์บีกอนมีโปรโมชั่นใหม่ๆออกมาให้ฮือฮาอยู่เสมอเลยค่ะ อย่างตอนนี้เป็นโปรฯลุ้นไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ในวงเงิน 1ล้านบาท ซึ่งมันว้าวมากกกก (ดูรายละเอียดเพิ่ม http://www.wongnai.com/news/travel-1000000) พร้อมกับออกเซ็ทเมนูบาร์บีกอนท่องโลก 4 แบบ 4 สไตล์ออกมาด้วยค่ะ

และก็เป็นความโชคดีของเรา ที่ไปเล่นเกมบน Wongnai fb fanpage แล้วได้คูปองฟรีมา พอคูปองส่งมาถึงบ้านปุ๊บก็ชวนกันไปกินกับคุณแฟนเลย ^^

นี่ค่ะ คูปองบาร์บีกอนท่องโลก

ตอนได้คูปองมาก็นึกว่าต้องเลือกแค่ชุดเดียวค่ะ เลยกะว่าจะเลือกชุดบาร์บีกอนชาวเกาะเพราะแพงสุด แต่พอยื่นบัตรไปให้น้องพนง. น้องถามว่า "จะรับ 4 เซ็ท เลยมั้ยคะ?" งงเลย เลยถามย้ำไปน้องพนง.แจ้งว่ารับได้พร้อมกันหมดเลยค่ะ 4 ชุด แต่จะสั่ง 2 เก็บไว้วันอื่น 2 ไม่ได้เพราะเค้าจะเก็บคูปองเราไปวันนี้เลย

"งั้นจัดเต็มมาเลยค่ะ เอาให้ตายไปข้างนึง" 
เราตอบไป

บาร์บีกอนท่องโลกประกอบด้วย 4 ชุด ชุดละ 3 ถาดค่ะ

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชวนกันไปอ้วน บุฟเฟ่ต์เค้ก Le Boulanger สุขุมวิท 33

Le Boulanger
ชวนกันไปอ้วน บุฟเฟ่ต์เค้ก Le Boulanger  สุขุมวิท 33

“เฮ้ยแก อยากกินบุฟเค้กอะ”

นี่คือจุดเริ่มต้นของมื้ออ้วนๆมื้อนี้ค่ะ ไม่รู้อะไรดลใจช่วงนี้เพื่อน ชวนกินแต่บุฟเฟ่ห์ เราก็เลยเสิร์ชๆๆ หาร้านที่เดินทางสะดวก ราคาไม่เกินงบ ไล่อ่านรีวิวมา จนเลือกได้ร้าน Le Boulanger (299 บาทรวมเครื่องดื่มแล้ว และไม่จำกัดเวลา เปิดบริการ 12.00 – 17.00น.) ในโรงแรมโลตัส ซ.สุขุวิท 33 ค่ะ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ ไม่ไกลจากที่ทำงาน แต่ถ้าจะมาทานกลางวันวันทำงานแค่ชั่วโมงเดียว แล้วกลับไปทำงาน ก็เกรงว่าจะไม่คุ้ม(และอาจเผลอหลับระหว่างทำงานได้) เราจึงนัดกันวันเสาร์ค่ะ

การเดินทาง
คุณเพื่อนทั้ง 2 เดินทางด้วยรถไฟฟ้าลงสถานีพร้อมพงษ์ ออกทางออกเบอร์ 5 ฝั่งตรงข้ามเอ็มโพเรียม ส่วนเราคุณแฟนขับรถมาส่ง ขับผ่าน Terminal21 มุ่งหน้าเอ็มโพเรียม ก็จะผ่านซ.สุขุมวิท33 เป้าหมายของเราก่อนถึง BTS เมื่อเจอเพื่อน(ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อน้ำเงินเกือบดำกันทั้ง 3 คนโดยมิได้นัดหมาย เพราะหวังจะพรางพุงกลมๆหลังกินเสร็จ อิอิ) แล้วก็พากันเดินย้อนกลับมาที่สุขุมวิท33 ไม่ไกลค่ะ เห็นป้ายซอยปุ๊บเลี้ยวขวาเข้าซอยได้เลย

แล้วมองไปทางฝั่งซ้ายของซอยจะเจอตึกโรงแรมโลตัส มีตัวอักษรติดได้ว่า Lotus ด้วย สังเกตไม่ยาก เดินผ่านร้านไก่ย่างส้มตำข้างทางไปนิดเดียวก็ถึงแล้วค่ะ (กลิ่นหอมโคตรๆ เกือบเผลอตัวนั่งลงสั่งไก่ย่างกินแทนแล้วสิ 555+)

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

จัดมาแล้ว Starbucks Denim Bag


กระเป๋า เป็นของคู่กับผู้หญิงค่ะ มีกี่ใบก็ไม่พอ
และเมื่อได้เห็นสิ่งนี้บนหน้า feed facebook

รับฟรี Starbucks Denim Bag 1 ใบ 

เมื่อซื้อเครื่องดื่มหรือสินค้าสตาร์บัคส์ครบ 450 บาทขึ้นไปต่อบิล 

ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. เป็นต้นไป

แล้วจะช้าอยู่ทำไมหละคะ จัดไป!!
สำหรับคนที่สนใจอยู่ และอยากรู้ว่ามันแข็งแรงมั้ย มามุงค่ะ
เดี๋ยวจะรีวิวให้ดู

[Mini review] โรตีแกงกระหรี่ ของอร่อยที่เพิ่งเคยลอง

แป้งโรตีแกงกระหรี่

 

โรตี!!! 

 

ได้ยินคำนี้แล้วคิดถึงอะไรคะ? 

แป้งก่อนๆ ที่โดนตีร่อนจนแผ่เป็นแผ่นบางๆกว้างๆ แล้วนำลงกระทะน้ำมันทรงกลมที่เว้านิดนึง ใส่เนยลงไป บางทีก็ใส่ไข่ใส่กล้วยซะด้วยเลย พับขอบๆๆ กลับด้าน เอาขึ้นมาวางลงบนแผ่นกระดาษ ตบๆข้างหน่อย ราดนมข้นหวาน โรยน้ำตาล หอมๆ กรอบๆ....โอ๊ย อยากกิน >_<

แต่วันนี้เราไม่ได้มาเจอโรตีแผ่นแป้งบางกรอบแบบนั้นค่ะ เราเดินในงานขายอาหารหน้า CTW แล้วได้พบกับโรตีแผ่นกลมหนา หนามาก 2 ซม.เห็นจะได้ ดึงดูดความสนใจมากเลย ไปเดินหลายงานแฟร์ไม่ยักเคยเห็น....ป้ายบอกว่า โรตีแกงกระหรี่ ตลาดน้ำวัดสะพาน...




วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

The Blue Sky Resort @ Khao Kho ที่พักสไตล์ English country ที่บริการดีน่าประทับใจ

The Blue Sky Resort @ Khao Kho 
The Blue Sky Resort ขึ้นชื่อด้านการเป็นรีสอร์ตที่สวยงามมีเอกลักษณ์ทั้งตัวรีสอร์ตเอง และสถานที่ตั้งค่ะ เดอะ บลูสกาย รีสอร์ท แอท เขาค้อ เป็นรีสอร์ทล่าสุดของบลูสกาย ที่น่าพักไม่น้อยไปกว่าที่ระนองและเกาะพยามเลย โดยใช้คอนเซ็ปท์บ้านสไตล์ชนบทของอังกฤษ หรือ English country นั่นเองค่ะ บรรยากาศของรีสอร์ทจะดูอบอุ่นอ่อนหวานแบบวินเทจนิดๆ ด้วยการตกแต่งที่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆในทุกๆจุดค่ะ เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนอย่างสงบหรือถ่ายพรีเวดดิ้งค่ะ 
วิธีการเดินทางไปBlue sky เขาค้อ [ข้อมูลจาก The Blue Sky Resort]
  1. ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถึงสระบุรี กม.125 เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 21
  2. ขับสบายๆ บน 21 ผ่าน อ.ชัยบาดาล อ.ศรีเทพ…อ.วิเชียรบุรี
  3. ขับสบายๆ อีก 1 ชั่วโมง ถึงแยกวังชมพู
  4. แนะนำเลี้ยวซ้ายใช้เส้น 21 By Pass เลี่ยงเข้าเมือง...ขับผ่านสนามบิน
  5. ขับผ่านแยก อ.เขาค้อ (อย่าเลี้ยวซ้ายไปเส้นนี้ : ถนนขับยาก)
  6. ประมาณ 10 กม. ก่อนถึงหล่มสักให้เลี้ยวซ้ายไปเส้นพิษณุโลก
  7. ขับขึ้นเขาไปตามเส้น 12 ที่สวยมากประมาณ 25 นาที ถึงสามแยกไฟแดง
  8. ขับช้าๆ ผ่านแยกไฟแดงจะพบปั๊มบางจาก... แนะนำให้กลับรถที่ปั๊มบางจาก จะพบทางเข้ารีสอร์ท
  9. Total ขับรถ ∼ 5 ชั่วโมง
  10. สอบถามเส้นทางเพิ่มเติม 081-0408824 (คุณเอ๋)
ที่จอดรถของรีสอร์ทมี 2 ส่วนคือด้านหน้าสำหรับผู้ที่มาใช้บริการร้านอาหาร และด้านหลังสำหรับผู้เข้าพักค่ะ จอดรถเสร็จเดินมาที่ล๊อบบี้เล็กๆก็มีพนง.ต้อนรับอยู่ด้วยรอยยิ้มค่ะ พร้อมเสิร์ฟ Welcome drink แสนอร่อยระหว่างเช็คอิน
Welcome Drink ที่ บลูสกาย รีอสร์ต เขาค้อ น้ำส้มปั่น หอมหวาน
Welcome Drink ที่ บลูสกาย รีอสร์ต เขาค้อ น้ำส้มปั่น หอมหวาน

สวิฟท์พาเที่ยว ***ตอนที่ 3 Blue sky resort – Route12 - Story cup – วัดผาซ่อนแก้ว***

สวิฟท์พาเที่ยว ***ตอนที่ 3 Blue sky resort  – Story cup – วัดผาซ่อนแก้ว***
สวิฟท์พาเที่ยว ***ตอนที่ 3 Blue sky resort  – Story cup – วัดผาซ่อนแก้ว***

 

จากภูหินร่องกล้า สู้ Blue sky report เขาค้อ

พ่อค้าที่ภูหินร่องกล้าแนะนำทางไปรีสอร์ทและวัดผาซ่อนแก้วให้ ว่าถนนเส้นไหนขับง่ายกว่ากัน  การเดินทางลงใช้เวลาพอสมควรเลยค่ะ ขับตามเส้นหลักไปบรรจบที่ถนนสาย 12 ผ่าน Route 12 และ Story cup ที่เป็นเป้าหมายของเราในวันพรุ่งนี้ไปด้วย เลยจาก story cup(ตรงข้ามเป็นปั๊มบางจาก) นิดเดียวก็ถึงทางเข้า Blue Sky Khao kho แล้วค่ะ เส้นทางเข้ารีสอร์ทไม่ได้ใหญ่โอ่อ่าอะไรนะคะ ตรงเข้าไปนิดนึงแล้วเลี้ยวขวาขึ้นเนินไปก็ถึงแล้วค่ะ เข้าไปไม่ลึกเลยแต่รีสอร์ทกลับมีความเป็นส่วนตัวเหมือนตัดขาดจาดโลกภายนอกเลยค่ะ 


The Blue Sky Resort เขาค้อ
The Blue Sky Resort เขาค้อ

เข้าห้องพักอาบน้ำถ่ายรูปกันซักพัก ก็ได้เวลาไปหาอาหารเย็นทานค่ะ จริงๆอยากลองอาหารของ Blue sky นะแต่ด้วยความที่งบจำกัด (ต้องกันไว้ซื้อเสื้อด้วย เปียกไปตัวเลยหมดแล้ว T_T) เลยออกไปหาทานถูกๆข้างนอกแทนค่ะ ก่อนจะออกจากรีสอร์ท...หากุญแจรถไม่เจอค่ะ 555+ ไปทำหายตรงไหนไม่รู้ วกกลับไปหาที่ห้องอีกรอบก็ไม่เจอ ไปที่รถก็ไม่เจอ เลยแจ้งพนง.ให้ช่วยดู พนง.ที่นี่น่ารักมากๆค่ะ เค้าใส่ใจจริงๆไม่ใช่แค่รับเรื่องพอเป็นพิธีนะคะ เค้าเดินแจ้งให้พนง.คนอื่นทราบแล้วช่วยดูจริงๆค่ะ สุดท้ายเราก็ไปเจอกุญแจรถที่ห้องนั่นหละค่ะ ไปหลบอยู่ในผ้าห่มเลย เดินไปแจ้งพนง.พร้อมขอโทษที่ทำให้วุ่นวายแล้วก็ขับออกมาค่ะ ^^”

เราขับรถมองหาร้านไปเรื่อยๆ พร้อมกับเปิดแอป Wongnai ดูร้านแนะนำ ส่วนมากไม่ค่อยเปิดค่ะ บางร้านที่เค้าแนะนำดูสภาพร้านก็ไม่อยากนั่งหรือเป็นอาหารพื้นเมืองรสจัดเราทานไม่ได้อีก สุดท้ายมาเจอร้านสบาย สบาย สไตล์ครูมะ เป็นร้านสเต๊คที่ติดป้ายว่า “เริ่มต้นเพียง 39 บาท” ร้านเป็นแบบ open air มองวิวทิวเขาสวยๆได้สบาย ร้านตกแต่งโมเดิร์นน่ารักๆดูสะอาดตาด้วยค่ะ ตอบโจทย์มากๆ เลยเลือกร้านนี้หละ ไม่ผิดหวังเลยค่ะ อาหารจัดจานมาอย่างสวยงาม เปิดเพลงBossa คลอเบาๆเสริมบรรยากาศชิลๆให้ด้วย


ร้านสบาย สบาย สไตล์ครูมะ
ร้านสบาย สบาย สไตล์ครูมะ

วิวจากในร้าน สบาย สบาย สไตล์ครูมะ
วิวจากในร้าน สบาย สบาย สไตล์ครูมะ

มองไปเห็นวัดผาซ่อนแก้วด้วย

อิ่มแล้วก็ไปต่อที่หมายสุดท้ายของวันนี้นั่นคือการหาซื้อเสื้อสำหรับพรุ่งนี้นั่นเองค่ะ ปกติไปแหล่งท่องเที่ยวจะมีร้านขายเสื้อยืดเยอะมากเลย แต่นี่เป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว ตลอดทางมานี่ยังไม่เจอร้านขายเลยหละค่ะ ตอนเติมน้ำมันบางจากที่ฝรั่งตรงข้ามรีสอร์ท แอบเห็นร้านในปั๊มมีขายเสื้อด้วย เลยวกกลับมาซื้อที่นี่ แต่...ร้านปิดแล้วค่ะ T_T ที่นี่ใช้ชีวิตกันสงบจัง ยังไม่ทุ่มนึงเงียบกันหมดแล้ว 

Route 12 

เราเสี่ยงดวงไปที่ Route 12 อีกที่นึงค่ะ เรามั่นใจมากว่าแหล่งท่องเที่ยวเที่ยวใหม่ๆแบบนี้มีเสื้อยืดขายแน่นอน แต่ไม่แน่ใจว่าจะปิดหมดรึยัง ตอนไปถึงเงียบสงัดเลย แต่ตรงร้านกาแฟยังเปิดอยู่ค่ะ เลือกเสื้อมาได้ 1 ตัว 190 บาทดีไซน์สวยดี โปสการ์ดอีกใบ ส่วนน้ำไม่ได้สั่งเพราะเพื่อนของน้องพนง.มาเร่งน้องกลับบ้านแล้ว เลยกะว่าพรุ่งนี้จะมาที่นี่อีกครั้งนึงค่ะ วันนี้ขอกลับที่พักไปพักผ่อนให้สบายดีกว่า 
Route 12
Route 12

ร้านกาแฟที่ Route 12
ร้านกาแฟที่ Route 12

Route 12
Route 12

Route 12
Route 12
เสื้อ 190 บาท โปสการ์ด 20 บาทค่ะ 
ก่อนนอนมาขอยืม DVD ที่ล๊อบบี้ไปดูได้ค่ะ คืนนี้ดู ม.6/5 ปากกล้าท้าแม่นาค เพราะเรื่องอื่นดูในโรงมาหมดแล้วค่ะ หนังมันช่าง......ห่วยตั้งแต่ต้นยันจบจริงๆ ดูแล้วก็เพลียกว่าการท่องเที่ยวตากฝนซะอีก นอนดีกว่า ZzzZ..ZzZzzz…..

เตียงที่ Blue sky resort นุ่มสบายมากค่ะ นอนแล้วไม่อยากจะตื่นจริงๆ คุณแฟนฝืนตื่นเดินขึ้นเนินไปดูวิวยามเช้ามา บอกว่าเดินไกลน่าดูเชียวค่ะ แต่วิวสวยจริงๆ เราเดินเล่นถ่ายรูปยามเช้าที่Blue sky resort ซักพัก ก็ชวนคุณแฟนไปหาอาหารเช้าทานกันที่ The Story cup ค่ะ 
พระอาทิตย์ขึ้นที่ The Blue sky resort เขาค้อ
พระอาทิตย์ขึ้นที่ The Blue sky resort เขาค้อ

The Story Cup

ที่นี่ส่วนมากคนจะมาร้านกาแฟด้านหน้ามากกว่า แต่จริงๆมีร้านอาหารด้านหลังด้วยนะ ชื่อร้านก็คนละชื่อแต่สุดท้ายแล้วก็โดนเรียกรวมๆเป็น story cup หมดแหละค่ะ เพราะจะนั่งร้านไหนก็สั่งของอีกร้านมาทานได้เหมือนๆกัน และชื่อ story cup ติดตลาดกว่า แต่การแต่งร้านของ 2 ร้านนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ 
ร้านอาหารชื่อ Sweet home Food & Bakery
เริ่มที่ร้านอาหารก่อน ตอนมานี่ร้านเพิ่งเปิด แถมเมื่อคืนฝนตกด้วย ที่นั่ง outdoor ยังไม่พร้อมค่ะ แต่ไม่เป็นไรนั่งด้านในก็ได้ เพราะวิวไม่ได้สวยอะไรค่ะ วันนี้ไม่มีหมอกด้วย ช่วงเช้าเลือกสั่งได้เฉพาะไข่กระทะหรือข้าวต้มเท่านั้น ถึงของทะเลในข้าวต้มจะใช้ของแช่แข็งมาแต่ก็อร่อยใช้ได้ค่ะ 
อาหารใน story cup เขาค้อ
อาหารยามเช้าข้าวต้มและไข่กระทะ

โซน outdoor ยังเปียกจากที่ฝนตกเมื่อคืน

วิวแอบรกค่ะ แต่เห็นหมอกที่ยอดเขา

ระหว่างรออาหารมีน้องแมวของร้านนี้มาเดินยืดเส้นยืดสายยามเช้ากันสลอนเลย ถูกใจคนรักแมวอย่างแรง ทานเสร็จเปลี่ยนโลเกชั่นกันบ้างค่ะ เดินไปต่อที่ร้านกาแฟ ร้านตกแต่งแบบเรโทรๆ กับแมวค่ะ ร้านขายโปสการ์ดหรือแมคเนทเป็นรูปน้องแมวด้วย ที่นั่ง outdoor วิว route 12 สวยที่สุดค่ะ ถ้าแดดไม่ร้อนนะ ชาเย็นของที่นี่อร่อยดีค่ะ เข้มข้นหวานมัน ส่วนอีกแก้วคือกาแฟดริป มันเก๋ตอนดริปนี่แหละแต่เค้าไม่ได้ดริปให้ดู แก้วนี้แถวชาร้อนมาให้ล้างปากกันด้วยค่ะ


Story cup
Story cup

Story cup

Story cup


ออกจาก Story cup แล้วก็ไปต่อที่ Route 12 กันค่ะ จากความตั้งใจเดิมว่าจะมาทานเครื่องดื่มที่นี่ แต่ก็เพิ่งทานไปแหมบๆงบน้อยด้วย เลยขอเดินถ่ายรูปเล่นอย่างเดียวก็แล้วกัน เช้าวันธรรมดาแบบนี้ หลายๆร้านใน Route 12ก็ยังปิดนะคะ ที่เปิดก็มีพวกร้านขายสมุนไพรไทยๆ ไอศกรีมรสแปลกๆ เสื้อผ้าเครื่องประดับแบบพื้นเมือง ส่วนน้องแกะยังโดนต้อนกินหญ้ากันอยู่เลย ไม่เป็นไรค่ะ มาเที่ยวหาหน้าค่อยมา 



วัดผาซ่อนแก้ว
ไปต่อกันที่วัดผาซ่อนแก้วกันดีกว่า ขับรถวกกลับไปผ่านทาง Blue sky resort อีกครั้งค่ะ แล้วตรงไปตามทางเรื่อยๆ จนถึงป้ายบอกทางเข้าวัดผาซ่อนแก้วที่อยู่ทางซ้ายมือก็เลี้ยวเข้าไปเลย จะมีทางดีๆกว้างเรียบขับง่ายให้ขึ้นไปอยู่ ไปถึงก็เจอลาดจอดรถก่อนเลยทางซ้ายและร้านค้าทางขวาค่ะ กำลังก่อสร้างร้านกันเพิ่มด้วยนะคะ ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะไม่สร้างร้านจนบดบังทัศนียภาพทิวเขาไปจนหมด

วัดผาซ่อนแก้วนี้มีการตกแต่งที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มากโดยแต่งด้วยลูกแก้ว ถ้วยชามกระเบื้องสีสันสดใส โดยแต่ละจุดจะมีลวดลายที่แตกต่างกันไปจนเก็บภาพไม่ถูกเลยค่ะ ลานทางขวาที่ใช้เป็นจุดชมวิวได้นี้ กำลังก่อสร้างพระพุทธรูปซ้อนกัน 5 ชั้นอยู่ ในวัดนี้ชมด้วยความสงบนะคะ เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมอยู่ ถ้าเสียงดังจะเป็นการรบกวนค่ะ ถ้าเจอลูกแก้วหรือกระเบื้องหลุดออกมาก็อย่าเก็บกลับบ้านนะคะ บาปนะบาป

ดูรูปกันไปยาวๆเลยแล้วกันค่ะ


วัดผาซ่อนแก้ว

วัดผาซ่อนแก้ว

วัดผาซ่อนแก้ว

วัดผาซ่อนแก้ว

วัดผาซ่อนแก้ว

วัดผาซ่อนแก้ว

วัดผาซ่อนแก้ว
มุมนี้ชอบมากค่ะ สังเกตุที่ลูกแก้วจะสะท้อนภาพวัตถุแบบกลับหัวนะคะ

วัดผาซ่อนแก้ว


เสียดายที่กล้องแบตจะหมดเลยยังถ่ายได้ไม่จุใจ ก่อนกลับแวะเข้าห้องน้ำที่วัดค่ะ สะอาดมาก มีคนดูแลอยู่ตลอดเลย 


จบจากตรงนี้ก็บ่ายแก่ๆมากแล้วค่ะ ข้ามข้าวเที่ยงไปอีกแล้ว แต่ก็ช่างมันค่ะ ไม่หิวเท่าไหร่เดินทางกลับบ้านเลยแล้วกัน สถานที่ต่อๆไปก็จะอยู่ระหว่างทางกลับแล้วค่ะ 

พระธาตุเจดีย์

ระหว่างทางนี่ก็มองหาร้านอารที่ตัวเองทานได้ไปเรื่อยๆ ไม่มีค่ะ 555+ กินยากกินเย็นจริงๆ ยัยคนนี้ จนขับผ่านมาถึงเส้น 2258 เจอร้านแบบ open air อีกแล้วค่ะ ชื่อ "ร้านอร่อยD ที่เขาค้อ" วิวสวยดี เลยลองแวะดู สั่งข้าวผัดไข่ใส่หมู และต้มยำรวมมิตรไป (เมนูซ้ำกับที่ทานที่ภูทับเบิกเลย) ข้าวผัดอร่อยค่ะ ต้มยำน้ำข้นก็อร่อยมาก ใส่นมกับกะทิเยอะถูกใจ ไม่เผ็ดมาก ร้านนี้ตอนเช้าๆมีหมอกด้วยนะคะ นั่งทานท่ามกลางสายหมอกได้เลย ทางร้านมีรูปไว้ให้ดูน่ะค่ะ ถ้ามาเที่ยวคราวหน้าว่าจะลองมาตอนเช้าดู แต่ถ้ามาช่วงท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้ทานก็ได้ค่ะ เพราะคนจะเต็ม (เพื่อนเราเคยพลาดมาแล้วค่ะ มื้อกลางวันนี่หละ ไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวด้วย แต่คนเต็ม)

ร้านอร่อยD ที่เขาค้อ

ร้านอร่อยD ที่เขาค้อ

ร้านอร่อยD ที่เขาค้อ


ทานมื้อควบกลางวันเย็นเสร็จแล้วก็เดินทางต่อค่ะ แวะที่ พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ แล้วก็ตรงดิ่งกลับบ้านเลย ผจญฝนตกหนักระหว่างทางสมกับมาเที่ยวหน้าฝนจริงๆ ค่ะ ใครเที่ยวช่วงหน้าฝนก็ขับรถด้วยความระมัดระวังนะ ^^
พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ

พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ

พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ
อ่านทริปนี้ตอนอื่นๆ 

สวิฟท์พาเที่ยว ***ตอนที่ 1 ไก่ย่างวิเชียรบุรี – ภูทับเบิก – โรงเตี๊ยม***

สวิฟท์พาเที่ยว ***ตอนที่ 2 ทะเลหมอก - ภูหินร่องกล้า - ลานหินปุ่ม - ผาชูธง**