At สนามบินเกาะเจจู
10.00น. เกาหลี (08.00น.ไทย) เครื่องไม่ได้จอดเทียบงวงค่ะ ต้องขึ้น shuttle bus ต่อไปอีก พอก้าวขาออกจากเครื่องบินปุ๊บ ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของอากาศและละอองฝนบางๆที่มาปะทะหน้าเลย คุณแฟนเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นรถคันแรกไปค่ะ รถเต็มซะก่อนที่เหลือ 9 คนเลยต้องตามไปคันที่ 2 ซึ่งปรากฏว่าคันที่ 2 นี้กว่าจะไปถึงตัวอาคารใช้เวลาเยอะมากๆ เพราะว่าที่นี่รถเค้าไม่วิ่งเลียบอาคารเหมือนสุวรรณภูมิ แต่วิ่งตัดกลางทางเลย เลยต้องจอดให้เครื่องบินผ่านหน้าเพื่อเทียบงวงอยู่เป็นระยะ
ไปถึงสิ่งแรกที่เจอที่อาคารคือ คุณแฟนค่ะ 555+ ยืนรอจนนึกว่าเราไปอาคารอื่นกันแล้ว คนไทยคนอื่นที่ลงมาด้วยกันก็ผ่านด่านไปไกลแล้วค่ะ ตอนนี้เราเลยต้องมาผจญคนจีนแทน เนื่องจากเกาะเจจูใกล้กับจีนมาก เลยมีคนจีนมาเที่ยวเยอะเลย สัดส่วนนักท่องเที่ยวก็ประมาณ คนจีน80% คนไทย 10% และอื่นๆ 10% ค่ะ
ขึ้นบันไดเลื่อนไปก่อนค่ะ ชอบถังขยะเค้านะ น่ารักทรงกระเป๋าเดินทาง |
ด่านแรก ด่านตรวจโรค(มั้ง?) คนไทยเดินผ่านได้เลยค่ะ ส่วนคนจีนเค้ามีใบเหลืองๆอะไรซักอย่างถือมาทุกคน ต้องยื่นใบนั้นให้ แล้วจนท.จะรู้ได้ไงว่าเราเป็นคนจีน? ไม่รู้สิค่ะไม่พูดภาษาอังกฤษด้วยสิ เราก็ลองเสี่ยงดวงเดินเข้าไปดื้อๆ พอเค้าเห็นเอกสารเราไม่มีใบเหลืองๆก็ปล่อยเข้าไปเลย ด่านถัดมาตม.ขาเข้าเกาหลีค่ะ เรารอดชิลๆแบบไม่โดนถามอะไรเลยตามปกติ พอพ้นตรงนี้ก็เดินลงบันไดเลื่อนไปรับกระเป๋าค่ะ ตรงก่อนทางลงบันไดเลื่อนนี่มีอุโมงค์พ่นยาฆ่าเชื้อด้วยเก๋ๆ
เราพลาดไม่นึกว่าจะมีคนติดด่านค่ะ พอลงไปแล้วเอ๊ะ พี่เขยไม่ลงมาซักที จะขึ้นไปดูก็ไม่ได้ สุดท้ายตัดสินใจเหลือคนรอดูอยู่ 2-3 คน ที่เหลือออกไปหาไกด์ก่อนค่ะ เผื่อให้เค้าเช็คให้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอออกมาจะเจอหนุ่มเกาหลี(ผู้ช่วยไกด์)ยืนถือป้ายพูดไทยไม่ชัดว่า “บัสซ้องๆ” อยู่ค่ะ ไกด์แจ้งว่าถ้านานมากคนไม่ครบจะโทรขึ้นไปเช็คให้ค่ะว่าติดอะไร แต่ช่วยอะไรไม่ได้คือได้แค่รู้ว่า “ติดเรื่องอะไร” หรือ “ส่งตัวกลับ” ระหว่างนี้คนอื่นๆก็ไปล้างหน้าแปรงฟันกันได้ค่ะ
ห้องน้ำที่นี่มี 2 จุด หากหันหน้าเข้าไปทางที่เราเดินออกมา ซ้ายมือขึ้นบันไดเลื่อนไปเจอเลย หรือไม่ก็ไปทางขวาชั้นเดียวกัน ห้องน้ำเกาหลีเป็นแบบเซนเซอร์ค่ะ เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วไฟเปิดเอง ไม่ต้องไปพยายามหาปุ่มเปิดไฟนะคะ ^^ โถก็เป็นแบบอัตโนมัติคล้ายๆในห้าง terminal21 ทั้งนั้น แต่มีเซนเซอร์ตอนลุกเช่นกัน (ถ้าเซนเซอร์มันใช้ไม่ได้ก็กดหน่อยนะคะ อย่าให้ต้องเป็นภาระคนต่อไป)
แนะนำทีมงานที่เราฝากชีวิตไว้ในทริปนี้ค่ะ มี 3 คน ไกด์ "ตี๋" คนไทยที่ทำงานเป็นไกด์มา 6 ปีแล้ว เชี่ยวชาญดี ขยันพูดค่ะให้ข้อมูลทุกอย่างละเอียดยิบแบบไม่ต้องรอให้ถาม ทั้งกำหนดการประจำวัน ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ห้องน้ำที่ไหนสะอาดที่ไหนควรอั้นไว้รอไปจุดถัดไปในอีกกี่นาที อาหารท้องถิ่น จุดช๊อปปิ้งร้านไหนควรซื้อไม่ควรซื้ออะไร อันไหนซื้อกลับไปฝากได้ อันไหนต้องกินทันทีเพื่อความอร่อย น้ำดื่มขึ้นชื่อ ของกินที่ควรลอง ละเอียดมากค่ะ รู้ใจลูกทัวร์สุดๆ
เด็กสาวชาวอังกฤษผู้มาเติบโตในญี่ปุ่นนามว่า “คิตตี้” มาปลูกบ้านสีชมพู 3 ชั้นไว้ที่เกาะเจจูแห่งนี้ด้วยค่ะ ชั้นล่างเป็นแกลลอรี่ไว้ให้ถ่ายภาพและร้านขายของที่ระลึก ชั้นที่ 2 เป็นคาเฟ่ และชั้น 3 เป็นoutdoor ตกแต่งไว้น่ารัก น่าถ่ายรูปทุกจุดเลย (ของไทยอยู่ที่ Siam square one 3 ชั้นเหมือนกันแต่เล็กกว่าและไม่มีโซนถ่ายรูปแต่มีสปามาแทนที่ค่ะ อ่านรีวิวได้ที่
Sanrio Hello Kitty House Thailand เปิดแล้วค่า (ประมวลภาพเล็กๆน้อยๆ) และ Hello Kitty House Thailand ในวัน Grand opening (09.08.14) )
เดินต่อมาที่ดาดฟ้าค่ะ (มีลิฟท์ด้วย) ชั้นบนนี่ลมแรงมากค่ะ อ๊ะ ไม่มีรูปสถานที่เดี่ยวๆ โชว์หนังหน้ากันไป - -"
ใช้เวลาที่นี่ 1 ชั่วโมงค่ะ...เวลาไม่พอสำหรับเราค่ะ ถ้าเจาะถ่ายนั่งกินขนมนี่อยู่ได้เป็นวัน แต่สำหรับคุณผู้ชายเวลาที่ให้อาจจะนานเกินไป
ที่นี่ประกอบไปด้วย 3 จุดหลักๆ คือ จุดแรกคือพิพิธภัณฑ์ชา ร้านขายผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากชาและคาเฟ่เล็กๆ จุดที่สองคือหอชมวิวบนตัวตึกค่ะ และจุดสุดท้ายอยู่ฝั่งตรงข้ามคือไร่ชาที่ตัดไว้เป็นทรงเหลี่ยมสวยงามกับถ้วยชายักษ์ไว้ให้ถ่ายรูปกัน เค้าบอกว่าไร่ชานี้ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ค่ะ ส่วนลานจอดรถจะอยู่ฝั่งพิพิธภัณฑ์
คำเตือน !! ลงบันไดเลื่อนไปแล้วขึ้นไม่ได้นะคะ กรุณานับจำนวนคนในครอบครัวก่อนลง |
เราพลาดไม่นึกว่าจะมีคนติดด่านค่ะ พอลงไปแล้วเอ๊ะ พี่เขยไม่ลงมาซักที จะขึ้นไปดูก็ไม่ได้ สุดท้ายตัดสินใจเหลือคนรอดูอยู่ 2-3 คน ที่เหลือออกไปหาไกด์ก่อนค่ะ เผื่อให้เค้าเช็คให้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอออกมาจะเจอหนุ่มเกาหลี(ผู้ช่วยไกด์)ยืนถือป้ายพูดไทยไม่ชัดว่า “บัสซ้องๆ” อยู่ค่ะ ไกด์แจ้งว่าถ้านานมากคนไม่ครบจะโทรขึ้นไปเช็คให้ค่ะว่าติดอะไร แต่ช่วยอะไรไม่ได้คือได้แค่รู้ว่า “ติดเรื่องอะไร” หรือ “ส่งตัวกลับ” ระหว่างนี้คนอื่นๆก็ไปล้างหน้าแปรงฟันกันได้ค่ะ
ห้องน้ำที่นี่มี 2 จุด หากหันหน้าเข้าไปทางที่เราเดินออกมา ซ้ายมือขึ้นบันไดเลื่อนไปเจอเลย หรือไม่ก็ไปทางขวาชั้นเดียวกัน ห้องน้ำเกาหลีเป็นแบบเซนเซอร์ค่ะ เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วไฟเปิดเอง ไม่ต้องไปพยายามหาปุ่มเปิดไฟนะคะ ^^ โถก็เป็นแบบอัตโนมัติคล้ายๆในห้าง terminal21 ทั้งนั้น แต่มีเซนเซอร์ตอนลุกเช่นกัน (ถ้าเซนเซอร์มันใช้ไม่ได้ก็กดหน่อยนะคะ อย่าให้ต้องเป็นภาระคนต่อไป)
สุดท้ายก็พี่เขยก็ผ่านตม.มาได้ค่ะ สาเหตุที่ช้าคือเค้าเปลี่ยนนามสกุล เลยไม่ตรงกับข้อมูลเดิม ต้องไปทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลก่อน
พอคนครบ (ซะที มีคนติดหลายคนเลยค่ะ แต่สุดท้ายแล้วก็ออกมากันครบ) ก็มุ่งหน้าไปขึ้นรถบัสค่ะ มีคนหายระหว่างทางอีกเพราะเดินตามผิดคนไปไหนไม่รู้ เลยเสียเวลาอีกนิดหน่อย ซึ่งโปรแกรมช่วงเช้าที่เดิมทีจะไปดูหินมังกรนั้นไปไม่ทันแล้วค่ะ เลยข้ามไปกินมื้อเที่ยงก่อนเลย
พอคนครบ (ซะที มีคนติดหลายคนเลยค่ะ แต่สุดท้ายแล้วก็ออกมากันครบ) ก็มุ่งหน้าไปขึ้นรถบัสค่ะ มีคนหายระหว่างทางอีกเพราะเดินตามผิดคนไปไหนไม่รู้ เลยเสียเวลาอีกนิดหน่อย ซึ่งโปรแกรมช่วงเช้าที่เดิมทีจะไปดูหินมังกรนั้นไปไม่ทันแล้วค่ะ เลยข้ามไปกินมื้อเที่ยงก่อนเลย
ออกจากสนามบินเจจูเริ่มโปรแกรมเที่ยว
แผนที่สนามบินถ่ายจากตรงน้ำตกซอนเจยอน หยิบมาอธิบายก่อนแล้วกัน |
เกาะเจจูแบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆคือเขตเมือง "เจจูซี"(ครึ่งบนของเกาะ) มีประชากรประมาณ 5 แสนคน กับเขตนอกเมือง "Seogwipo" (ครึ่งล่างของเกาะ) มีประชากรประมาณ 1 แสนคน ซึ่งสถานที่เที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ครึ่งล่างค่ะ ใช้เวลาจากที่นึงไปอีกที่นึงไม่นาน ยกเว้นจากนอกเมืองเข้าในเมืองจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ลำดับการเที่ยวอาจจะสลับสับเปลี่ยนไปนะคะ เพราะเค้าพยายามจัดให้ไม่ชนกับบัสอื่นมาก ไม่งั้นคนจะแออัดเกินไป นี่เป็นเรื่องปกติของทัวร์เกาหลีค่ะที่จะไม่เป๊ะตามตาราง ทำใจไว้ก่อนเลยจะได้ไม่นอย
แนะนำทีมงานที่เราฝากชีวิตไว้ในทริปนี้ค่ะ มี 3 คน ไกด์ "ตี๋" คนไทยที่ทำงานเป็นไกด์มา 6 ปีแล้ว เชี่ยวชาญดี ขยันพูดค่ะให้ข้อมูลทุกอย่างละเอียดยิบแบบไม่ต้องรอให้ถาม ทั้งกำหนดการประจำวัน ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ห้องน้ำที่ไหนสะอาดที่ไหนควรอั้นไว้รอไปจุดถัดไปในอีกกี่นาที อาหารท้องถิ่น จุดช๊อปปิ้งร้านไหนควรซื้อไม่ควรซื้ออะไร อันไหนซื้อกลับไปฝากได้ อันไหนต้องกินทันทีเพื่อความอร่อย น้ำดื่มขึ้นชื่อ ของกินที่ควรลอง ละเอียดมากค่ะ รู้ใจลูกทัวร์สุดๆ
และเค้าจะบอกว่าจุดไหนให้เดินตามเค้าไปถึงตรงไหนแล้วอิสระได้ก่อนกลับมาเจอกันกี่โมง ไม่ต้องเดินเป็นกลุ่มกันตลอด ซึ่งเราชอบมากเพราะเคยไปทัวร์บางครั้งจะโดนเรียกให้มายืนรวมกลุ่มมองหน้าไกด์ฟังคำอธิบายแล้วเดินตามไปจุดต่อไปทำแบบเดิมต่อ รูปเริปไม่ต้องถ่ายกัน ไปเที่ยวก็เห็นแต่หน้าไกด์ไม่สนุกเลย หรือบางทัวร์ก็ไม่บอกอะไรเลยนอกจากกำหนดการ
ผู้ช่วยไกด์ชาวเกาหลีเค้าให้เรียกว่า “โชคดี” ทำงานกับไกด์ตี๋มาตลอดหลายปี พูดและฟังไทยได้นิดหน่อย เป็นมิตรและฮาดีค่ะ คนสุดท้าย คิซานิมหรือคนขับรถนั่นเอง ขับปลอดภัยไปทั่วเกาะ
ไกด์ "ตี๋" และผู้ช่วยไกด์ "โชคดี" ส่วนคนขับรถไม่ได้ถ่ายรูปค่ะ ส่วนตัวแยกแยะหน้าตาคนขับรถแต่ละคันไม่ออกเลย - -" |
มื้อแรกบิบิมบับ + ชาบู
ข้าวยำสาหร่าย อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาหลี มาถึงที่ก็ต้องมีซักมื้อที่ได้กินหละค่ะ ทั้งครั้งนี้และครั้งที่ไปโซลมื้อบิบิมบับนี่จะเสิร์ฟคู่กับชาบูค่ะ แต่ปกติเค้าน่ากินกันจานเดียวเพียวๆมั้งนะ นี่นอกจากมา 2 เมนูพร้อมกันแล้วยังเติมไม่อั้นด้วย (เติมไม่อั้นทุกมื้อนั่นแหละค่ะ สไตล์ทัวร์เกาหลี) ถ้วยใส่ข้าวยำทำมาจากหินภูเขาไฟร้อนๆค่ะระวังโดนมือพอง แต่เรามาเลทไงไม่ร้อนแล้ว 555+ ส่วนชาบูร้านนี้อร่อยดีถูกปาก
ข้าวยำสาหร่าย อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาหลี มาถึงที่ก็ต้องมีซักมื้อที่ได้กินหละค่ะ ทั้งครั้งนี้และครั้งที่ไปโซลมื้อบิบิมบับนี่จะเสิร์ฟคู่กับชาบูค่ะ แต่ปกติเค้าน่ากินกันจานเดียวเพียวๆมั้งนะ นี่นอกจากมา 2 เมนูพร้อมกันแล้วยังเติมไม่อั้นด้วย (เติมไม่อั้นทุกมื้อนั่นแหละค่ะ สไตล์ทัวร์เกาหลี) ถ้วยใส่ข้าวยำทำมาจากหินภูเขาไฟร้อนๆค่ะระวังโดนมือพอง แต่เรามาเลทไงไม่ร้อนแล้ว 555+ ส่วนชาบูร้านนี้อร่อยดีถูกปาก
กินอิ่มนั่งรถต่อยังไม่ทันหายอืดก็ถึงที่เที่ยวแห่งแรก Hello Kitty Island Jeju
ชั้นหนึ่งของ Hello Kitty Island Jeju ค่ะ |
ชั้น 2 โซนถ่ายรูป |
ชั้น 2 โซนคาเฟ่ |
ราคาอาหารที่คิตตี้ คาเฟ่ไม่ต่างกับประเทศไทยนักค่ะ พอกินได้ แต่เราไม่มีเวลากิน T_T
ในโซนคาเฟ่นี่มีตู้หมุนไข่ด้วยค่ะ ไม่ใช่ไข่ของคิตตี้ แต่ก็มีน่ารักๆอยู่ น้องสาวเราชอบหมุนไข่เอาของเล่นเล็กๆไว้เล่นกับโมเดล มาถึงนี่แตกแบงค์ไม่ทันเลยอดหมุนค่ะ ใครชอบหมุนไข่เหมือนกันแนะนำให้เตรียมเหรียญไว้เลย 500 วอน x 4 เหรียญ = 2000 วอนค่ะ ตกประมาณ 60 บาทเท่าๆกับที่ญี่ปุ่นเลย (และถูกกว่าไทย เพราะไทยหมุนครั้งละ 100 บาท)
เดินต่อมาที่ดาดฟ้าค่ะ (มีลิฟท์ด้วย) ชั้นบนนี่ลมแรงมากค่ะ อ๊ะ ไม่มีรูปสถานที่เดี่ยวๆ โชว์หนังหน้ากันไป - -"
ใช้เวลาที่นี่ 1 ชั่วโมงค่ะ...เวลาไม่พอสำหรับเราค่ะ ถ้าเจาะถ่ายนั่งกินขนมนี่อยู่ได้เป็นวัน แต่สำหรับคุณผู้ชายเวลาที่ให้อาจจะนานเกินไป
เดินทางต่อสู่พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค OSULLOC
มาถึงที่นี่ อย่างแรกเลยที่ไกด์เตือนคือ “การข้ามถนนบนทางม้าลาย”
เค้ามีสัญญาณไฟคนข้ามค่ะ ถ้าไฟคนข้ามไม่เขียวห้ามเดินข้ามเด็ดขาด ต่อให้ถนนโล่งไม่มีรถก็ห้ามข้าม ถ้าฝ่าฝืนโดนจับขึ้นมา ค่าปรับ 200,000 วอน หรือประมาณ 6,000 บาทค่ะ อ่านปากณิชานะคะ หก-พัน-บาท-ค่ะ รอไม่กี่วิคงไม่ตาย ดีกว่าไม่มีเงินไปซื้อคสอ.
อยากจะไปยกรถคันนั้นออกจากภาพชะมัด บังถ้วยชาอยู่ |
ถ้วยชา สัญลักษณ์ของไร่ชา OSULLOC ไม่ถ่ายรูปด้วยถือว่ามาไม่ถึง!! |
หอชมวิวเป็นห้องกระจกกับดาดฟ้าค่ะ |
คนจะเยอะเป็นจุดๆแค่ตรงถ้วยชายักษ์และตรงคาเฟ่เท่านั้นแหละค่ะ ถ้าจะเดินดูพิพิธภัณธ์หรือขึ้นไปดูวิวนี่ชิลๆ ทางขึ้นไปดูวิวอยู่ตรงห้องน้ำค่ะ ขึ้นไปแล้วมองลงมาเห็นห้องน้ำตรงที่ล้างมือด้วยนะ ขอเตือนเลยว่าจะทำอะไรหน้ากระจกต้องระวังนิดนึง ก่อนเข้าใช้บริการเงยดูก่อนนะ (ตอนเค้ามาเก็บขยะในถังขยะแอบตะลึงนิดนึงค่ะ ป้าแม่บ้านแกจ้วงหยิบขยะลงมาเทกับพื้นเต็มพื้นที่เลย แล้วค่อยโกยขยะนั้นไปทิ้งค่ะ ทำไมไม่โกยใส่ถุงขยะไปตั้งแต่แรกไม่รู้) ที่ชมวิวมีหลายชั้นจะขึ้นลิฟท์หรือขึ้นบันไดก็ได้ค่ะ แต่ลิฟท์รอนานหน่อย
คนนับล้านบริเวณคาเฟ่ค่ะ |
พิพิธภัณฑ์ชา โมเดลของเค้าน่ารักมากเลยชอบๆ ^^ |
ซ้ายบน - ห้องชมวิวแบบกระจก ซ้ายล่าง - ชมวิวบนดาดฟ้า ขวาบน - มองออกไปที่ไร่ชา ขวากลาง - มองลงไปที่คาเฟ่ ขวาล่าง - มองลงไปที่ห้องน้ำ..... |
ของขึ้นชื่อของเค้าที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวไทย คือไอศกรีมชาเขียวแบบซอฟท์ครีมกับโรลชาเขียวค่ะ มาถึงนี่แล้วยังไงก็ต้องลอง เราฝากพี่เขยซื้อให้ส่วนตัวเองขึ้นไปดูวิวค่ะเพราะแถวยาวมากกกกกกกกก ผลคือของได้เร็วกว่าที่คิด พี่สาววิ่งขึ้นมาตาม โดนด่าไปตามระเบียบค่ะ 555+
ติดๆกับคาเฟ่มีตึก inisfree workshop อยู่ด้วยค่ะ เราไม่ได้เดินไปแต่พี่สาวไปถ่ายมา (แอบแฮ๊บรูปมาซะเลย)
ชิมๆๆโรลชาเขียวและไอศกรีมชาเขียวของไร่ชา OSULLOC |
รูปไอศกรีมละลายไปหน่อยแต่อร่อยเหมือนเดิมค่ะ หอมชา ไม่หวานจัดและก็ไม่ขมจัดด้วย ทานง่าย ส่วนโรลรสเดียวกันนี่หละแต่ตรงกลางมีครีมเย็นๆอร่อย อยู่ไทยไม่มีกินก็จัด Kyo Roll En แทนไปก่อนได้
ครึ่งทางของการท่องเที่ยวันแรกแล้วค่ะ สู้ๆ (บอกตัวเอง 555+)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น