วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Fly me to Jeju กินเที่ยวไปกับทัวร์ - Part 1 จากสุวรรณภูมิสู่เกาะเจจู -



อยากไปเที่ยวต่างประเทศแต่งบน้อย จะหาตั๋วเครื่องบินถูกๆที่พักถูกๆแล้วหาคู่มือตะลอนเองก็ไม่สะดวก แล้วมีที่ไหนมั้ยที่จ่ายแค่หมื่นต้นๆแต่ได้พร้อมทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก อาหารแถมมีคนพาเที่ยวด้วย?
คำตอบของหลายๆคนตอนนี้คงเป็น "เกาะเจจู" ค่ะ ด้วยราคาแค่ 9,990 – 13,900 บาทได้ทัวร์บินตรง 3 วัน 2 คืนเต็มๆ ดูยังไงก็คุ้ม ไปเที่ยวทัวร์ในประเทศบางทียังแพงกว่านี้เลย

นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกาะเจจูฮิตมากกกกในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แถมยังมีแรงหนุนจากซีรี่ย์เกาหลีหลายๆเรื่องอีก แต่กลับมีรีวิวออกมาไม่เยอะนัก(หรือเราอาจจะเสิร์ชไม่เจอเอง 555+) ไม่เป็นไรจะมีรีวิวเยอะหรือไม่เยอะ วันนี้เราก็จะมาร่วมด้วยช่วยรีวิว เผื่อสำหรับเพื่อนๆที่สนใจอยากไป แต่ไม่มั่นใจว่าทำไมถูกจัง ราคานี้มันจะแย่มั้ย มีอะไรให้บ้าง มาดูกันเลยค่ะ

จะพยายามเขียนให้ละเอียดเท่าที่ความทรงจำปลาทองนี้จะจำได้นะคะ เผื่อสำหรับคนไม่เคยไปตปท.หรือไม่เคยไปกับทัวร์ด้วย ถ้ายาวเวิ่นเว้อเกินก็ข้ามไปอ่านตรงที่สนใจเอาละกันเนอะ ตกหล่นหรือข้อมูลผิดพลาดอะไรแจ้งได้เลยค่ะ จะได้แก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นประโยชน์ที่สุด ^^

กำเนิดทัวร์
เริ่มกำเนิดทัวร์นี้เพราะพ่อเราอยากไปดูใบไม้แดงค่ะ ตอนหาข้อมูลก็ค่อนข้างสับสน บางรีวิวบอกว่าใบไม้เปลี่ยนสีตอนปลายพฤศจิกายน บางคนบอกต้นเดือน คนขายทัวร์บอกปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน สุดท้ายด้วยข้อมูลที่(ไม่ค่อย)มีและวันลาที่จำกัดเราเลือกเดินทาง 1 – 4 พฤศจิกายนค่ะ ซึ่งขอขีดเส้นใต้ตัวหนาๆไว้ตรงนี้เลยว่า

“ต้นเดือนพฤศจิกายนที่เกาะเจจูประเทศเกาหลีใต้ ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีชัวร์”
และจะเปลี่ยนสีตอนปลายเดือน (ตามคำบอกเล่าของไกด์ที่เกาหลีค่ะ)

ตอนเราไปอากาศที่เกาะเจจูประมาณ 14 – 18 องศาลมแรงเพราะเป็นเกาะ และคาดว่าจะมีฝนตกในวันที่ 2 ด้วยค่ะ อากาศใกล้เคียงกับปักกิ่งตอนเดือนเมษายนที่เคยไป
วันเดินทาง

ครอบครัวเราไปกัน 10 คนค่ะ ตรวจพาสปอร์ตซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วก็มุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิเลย ทัวร์นัดเวลา 5 ทุ่มแต่เราไปก่อนเวลากันรถติด ไปถึงก็หาที่นั่งแล้วก็ไปตุนเสบียงกันซักหน่อย เพราะเที่ยวบินนี้มีให้แค่ขนมไม่มีอาหารและมื้อแรกที่เจจูจะเป็นมื้อเที่ยงเลย เดินลงไปที่ชั้น2 จะมี familymart อยู่ติดกับ Boots และร้านหนังสือค่ะ ขาดเหลือลืมอะไร ซื้อเอาตรงนี้ได้เลย ตัวแปลงปลั๊กไฟก็มี (แต่แพง)



5 ทุ่มได้เวลาก็เดินไปรับเอกสารจากทัวร์ ตรวจเช็คและเซ็นต์ชื่อให้เรียบร้อย ถ้าเอกสารเค้าพิมพ์มาให้ผิดก็รีบแจ้งนะคะ ของเราโดนพิมพ์ซ้ำแบบกลับหัวกลับหางมา เค้าใช้ลิขวิดลบดื้อๆเลย แต่ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาค่ะ 
บัตรขาออก ขาเข้า เอกสารสถานที่ท่องเที่ยว เข็มกลัดบอกบัสที่เราจะนั่งที่เกาะ

จากนั้นก็เดินไปเช็คอินเอง ถ้ามาเป็นกลุ่มรวมพาสปอร์ตไว้ที่คนเดียวให้ติดต่อคนเดียวก็พอค่ะ ที่นั่งจะได้ติดกัน แล้วก็เข็นของไปชั่งน้ำหนัก ได้ Boarding pass เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินตัวปลิวเข้าโซนด้านในค่ะ
สายการบินที่เราจะไป Eastar Jet

น้องกระต่ายนี่ปกพาสปอร์ตเราเอง น้องซื้อมาฝากจากเกาหลีนี่แหละ
จนท.จะดึงปกออกจากตัวพาสปอร์ต(ดึงแค่ปกหน้า) ดึงรอไว้ก่อนส่งให้จนท.ก็ได้
ตม.ขาออกต้องขึ้นบันไดไปก่อน ด่านแรกตรวจสัมภาระติดตัว วางกระเป๋า เสื้อคลุม เข็มขัด พาสปอร์ต มือถือในตะกร้าแล้วเดินผ่านเครื่องตรวจ (ของที่คนมักเผลอพกมาด้วยก็กรรไกรตัดเล็บอะค่ะ ถือเป็นอุปกรณ์เทียมอาวุธเอาขึ้นเครื่องไม่ได้นะจ๊ะ) จากที่น้องสาวสังเกตุมาหลายรอบเครื่องตรวจตรงกลางจะตรวจเข้มกว่าเครื่องอื่น ต้องไปยืนกางแขนตรวจทั้งตัวแต่เครื่องอื่นไม่ต้อง ไม่รู้ทำไม
ด่านต่อไป ตม.แต่ก่อนต้องตรวจมือเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้มีเครื่องอัตโนมัติด้วยค่ะ ตอนเราไปมีแต่แบบเครื่อง จริงๆอยากตรวจโดยคนมากกว่า อยากได้ตราประทับอะ T_T การใช้งานเครื่องนี้ครั้งแรก งงค่ะ 555+มันจะมีที่กั้น 2 ชั้น ชั้นแรกสแกนพาสปอร์ต แล้วเข้าไปชั้นที่ 2 ถึงจะเป็นสแกนนิ้วกับถ่ายรูปหน้า แต่เราดันคิดถึงการสแกนนิ้วแต่แรกไง ยื่นมือไปสแกนนิ้วตั้งแต่ที่กั้นอันแรกเฉยเลย แล้วมันก็ดันมีช่องแสงเลเซอร์สีแดงๆช่องนึงด้วย ก็นึกว่าใช่อะค่ะ เขินเลย
Duty free & King Power Lounge
ผ่านด่านมาเรียบร้อยก็ถึงโซน duty free แล้วค่ะ เกทที่เราต้องขึ้นคือ D2 จะอยู่ทางซ้ายมือ เดินดูของปลอดภาษีไปเรื่อยๆ แวะห้องน้ำสวยๆเล่นจอ interactive ที่อยู่ด้านหน้าซะหน่อย


แล้วก็ซื้อน้ำหอมมา 1 กล่องเผลอถือมาเลยอีกต่างหาก ณ จุดนี้หากซื้อของแล้วฝากไว้รับขากลับได้ค่ะ แค่แจ้งไฟลท์กลับให้เค้าเท่านั้น เป้าหมายของเราก่อนขึ้นเครื่องในวันนี้คือ King Power Lounge ค่ะ ไปนั่งพักผ่อนหาอะไรหม่ำยามดึกกัน
ติดต่อที่เคาเตอร์ก่อน บัตรดำเลี้ยวซ้าย บัตรทองเลี้ยวขวา

ครอบครัวเรามีบัตรดำ 2 ทอง 1 เลยสามารถเข้าเล้านจ์ได้ 9 คน (บัตรละ 3 คน ถ้าอยากเข้าเพิ่มต้องใช้แต้มแลกค่ะ) แต่เล้านจ์ของบัตร 2 สีจะไม่เหมือนกันนะคะ ของบัตรทองของกินจะน้อยกว่าและบางอย่างต้องเสียเงินซื้อเช่นมาม่า น้ำอัดลม แต่วันนี้เราบินดึก ของกินเลยเหลือน้อยหน่อย ขอบอกอีกอย่างว่าที่ครอบอาหารหนักมากกกกก ยกแทบไม่ขึ้น จนนึกว่าเค้าล็อกไว้ซะอีก
นี่ฟากบัตรดำ
เกทที่จะขึ้นอยู่ใกล้ King power lounge มากค่ะ เผื่อเวลาไว้นิดเดียวพอ ส่วนถ้าใครซื้อของที่ Kingpower นอกสนามบินแล้วต้องมารับด้านในนี้ จุดรับของก็อยู่ใกล้ๆกับ lounge นี่หละค่ะ

บินไปกับ Eastar Jet

เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินเหมาลำไปเจจูค่ะ ทุกคนบนเครื่องเป็นเพื่อนร่วมทัวร์กับเรานี่หละค่ะ แต่เดี๋ยวจะไปแยกบัสกันอีกทีที่เกาะเจจู 1 เที่ยวบินนี่ก็ประมาณ 5 บัสตกบัสละ 35 คน แต่ละคนจะซื้อทัวร์มาจากต่างบริษัทต่างโปรโมชั่นกัน เพราะงั้นถ้าไม่อยากเจ็บใจที่ซื้อแพงกว่า อย่าถามค่ะว่าคนอื่นซื้อมากี่บาท (อัตราความเจ็บใจสูงสุดคาดว่าอยู่ที่ 4,000 บาทนะคะ ส่วนต่างของ 13,990 กับ 9,990)
สายการบินสำหรับบินตรงไปสู่เกาะเจจูของเราในคืนนี้คือ Eastar Jet ตอนขึ้นเครื่องไปตกใจมาก เครื่องเล็กเหมือนสายการบิน low cost บ้านเราค่ะ ที่นั่งแถวละ 6 ที่เว้นทางเดินตรงกลาง เราไม่เคยบินเครื่องเล็กขนาดนี้ออกนอกประเทศ แถมวันนี้ยังได้ที่นั่งเป็นกลุ่มท้ายสุดของเครื่องด้วย (แถวสุดท้ายคือ 31 ค่ะ) ห้องน้ำห้องครัวอยู่ท้ายเครื่องหมดค่ะ ไม่เป็นอันหลับกัน 
ข้อสังเกตุของแอร์และสจ๊วตของสายการบินนี้คือ เดินเร็วมากกกก ถ้ายื่นหัวหรือแขนล้ำไปที่ทางเดินตอนเค้าเดินนี่มีสิทธิ์หัวหลุด (เว่อร์) ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับแบบเป๊ะ ถ้าคุณไม่ทำตามเค้าจะเดินมาเตือนด้วยความเร็วปานพายุนั่นแหละค่ะ และภาษาอังกฤษก็ค่อนข้างฟังยากฟังออกครึ่งๆเอง (ถึงสำเนียงจะดีก็ฟังออกครึ่งๆอยู่ดีค่ะ 555+)
ตอนเครื่องวิ่งบนรันเวย์ได้กลิ่นน้ำมันด้วยเหม็นเลย พอขึ้นบินซักพักระดับคงที่ก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุย แล้วเค้าก็เริ่มเสิร์ฟของว่างเป็น....ขนมปังกับน้ำองุ่น ตามติดมาด้วยน้ำส้มเจจู/น้ำเปล่า แล้วกลิ่นหอมฉุยนั่นมันมาจากไหน งงค่ะ 555+ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ที่มาของกลิ่นนั้น
หลังจากนั้นถ้าหลับลงก็หลับยาวได้เลยค่ะ เค้าจะให้เราปิดหน้าต่างเครื่องไว้ เพราะบินไปซักพักจะเริ่มเป็นเวลาเช้าแสงที่ส่องเข้ามานี่จ้ามาเหมือนโดนยิงเลเซอร์
วันนี้เครื่องโคลงเคลงเยอะหน่อยเพราะสภาพอากาศไม่ดีค่ะ เมฆหนาทึบจะลงจอดอยู่รอมร่อยังมองไม่เห็นตัวเกาะเลยค่ะ เห็นแต่เมฆใจเสียเลยนึกว่าจะไม่ได้เที่ยวแล้ว ตอนแลนดิ้งท้ายสะบัดแรงมากตัวโยนเลยทั้งๆที่คาดเข็มขัดไว้นี่หละ ตอนเครื่องยังไม่จอดดีสัญญาณคาดเข็มขัดยังขึ้นอยู่ กลับมีหลายคนลุกขึ้นมาเปิดที่เก็บกระเป๋าบนหัวค่ะ แอร์พุ่งตัวด้วยความเร็วมาเตือนทันที และประกาศให้นั่งรัดเข็มขัดจนกว่าจะบอกให้ถอดได้ แต่ซักพักก็มีคนลุกขึ้นมาหยิบกระเป๋าอีก!! ไม่ใช่รถทัวร์นะคะ ไม่ต้องรีบลุกมาเอาของลงแต่เนิ่นๆ รอจอดสนิทก๊อนนนน มันอันตรายต่อหัวผู้โดยสารที่ยังนั่งอยู่ค่ะ
ยาวแฮะ ขอจบ Part แรกตรงนี้แล้วกัน เพิ่งถึงเจจู  ^^
แถมๆ
จัดกระเป๋ากันจ้า สิงที่ต้องเตรียมไป 
จัดกระเป๋าไปเกาะเจจู ไม่ต้องเอาแมวไปนะครัช!!
1. พาสปอร์ต บัตรประชาชน เอกสารอื่นๆที่อาจต้องใช้หากติดตม.เช่น ใบรับรองการทำงาน ใบเปลี่ยนชื่อนามสกุลบัตรเครดิต โปรแกรมทัวร์ (ทางทัวร์เตรียมให้) ส่วนวีซ่าไม่ต้องใช้ 

2. เสื้อกันหนาวหรือกันลม แล้วแต่สภาพร่างกายค่ะ ยกตัวอย่าง เราขี้ร้อนทนหนาวได้ระดับนึง เลยเอาเสื้อหนาวแบบไม่หนาไป กลางวันไม่ใส่เสื้อกันหนาวเลย ใส่แค่ตอนเย็นที่อุณหภูมิลดลงเยอะหรือตอนขึ้นเขาที่ลมแรงมากเท่านั้น ส่วนตัวในเสื้อยืดบ้างเสื้อแขน 5 ส่วนบ้าง เพราะเวลาอยู่ในรถหรือร้านอาหารจะร้อนค่ะ เลยเอาแบบไม่หนาเดี๋ยวอึดอัด แม่เราทนหนาวดีเลิศขึ้นเขาลมพัดแรงๆเย็นเฉียบก็ยังใส่แค่เสื้อโปโลกับเสื้อกันลมค่ะ(แต่ตอนแม่ไปประเทศอื่นเจอหิมะบางๆก้ใส่แค่นี้นะ ไม่น่าใช้อ้างอิงได้555+) ส่วนถ้าคนขี้หนาวอยากใส่โค้ทหนาไปแต่กลัวดูเว่อร์ ไม่ต้องกลัวค่ะเพราะมีคนใส่แบบนั้นเยอะอยู่เหมือนกัน

3. เสื้อกันฝน/ร่ม  ถ้าพยากรณ์อากาศมีฝนก็ติดไปหน่อยค่ะ พยากรณ์เดี๋ยวนี้ออกมาค่อนข้างเป๊ะ

4. รองเท้าผ้าใบ เหมาะแก่การเดินขึ้นเขาค่ะ เลือกที่ใส่จนชินสบายเท้านะ ถ้าของใหม่หรือของไม่ใส่นานระวังมันจะกัด อยากชิคไม่อยากใส่ผ้าใบจะใส่บู๊ท...ก็ได้หรอกค่ะ แต่เดินระวังๆเดี๋ยวเท้าแพลง ส้นสูงไหวมั้ย? ถ้าเป็นนาโอมิ แคมเบลใส่ส้นสูงจนชินประหนึ่งเป็นอวัยวะในร่างกาย ใส่อย่างอื่นไม่ถนัดก็จัดไปเลยค่ะ หรือถ้าคิดว่าตัวเองไม่ขึ้นเขาแน่นอน อยากใส่อะไรใส่ค่ะ แหล่งท่องเที่ยวอื่นเดินไม่เยอะทางดี (เขาก็ทางดี แต่เดินเยอะ)

5. ยาสามัญประจำบ้าน แก้ปวดหัวตัวร้อน ปวดท้อง ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย ท้องอืด (น้องสาวแนะนำ pudin) ไปเที่ยวแล้วป่วยจะไม่สนุกเอาค่ะ

6. ซอสปรุงรส น้ำจิ้มสุกี้ พันท้ายนรสิงห์ มาม่าฯ ถ้าเป็นพวกกินยากติดรสชาติไทยๆ พกไปเองดีกว่าจะไปคาดหวังเอาจากไกด์ค่ะ แต่ไหนๆจะไปเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่ๆทั้งที มาถึงถิ่นเค้าก็น่าจะลองกินอาหารของเค้าแบบต้นตำรับดูเนอะ

7. ตัวแปลงปลั๊กสำหรับเสียบกับปลั๊กเกาหลีเป็นปลั๊กแบบหัวกลม ซื้ออันเดียวแล้วแบกรางเสียบปลั๊กไปก็ได้ค่ะ ไม่เปลือง

8. Pocket wi-fi ที่เกาะเจจูมี Wifi free แค่บงที่ค่ะ ที่เจอมาคือบางส่วนของสนามบิน(สัญญาณอ่อน) ที่พัก(เราพัก Hotel J สัญญาณแรงทะลุเกจ) ไร่ชา(สัญญาณเบา) ถ้าอยากออนไลน์ตลอดเวลาต้องเตรียมไปเอง

9. เงินค่าไกด์+คนขับรถ 700 บาทต่อคนเดินทาง 1 คน

10. เงินค่าผู้ช่วยไกด์ (ตากล้อง) เป็นธรรมเนียมของเกาหลีค่ะ ที่จะไม่ค่อยมีคนทำงานให้บริการ แต่กับทัวร์จะมีมาช่วยบริการเสิร์ฟข้าว เติมน้ำ หมู ดูแลเราตลอดทริป แลกกับการที่เค้าจะขอถ่ายรูปเราแล้วเอารูปมาขายในราคาใบละ 5000 วอน (ถ้าจ่ายเงินไทยคิด 160บาท) ซึ่งสวยมั้ย?ไม่สวย แพงมั้ย?แพง กล้องเราก็มีสวยกว่าเค้าอีก แต่นี่เป็นค่าตัวเค้าค่ะไม่ใช่แค่ค่ารูป เราเลือกได้ว่าจะซื้อกี่ใบหรือไม่ซื้อเลย เป็นสินน้ำใจตอบแทนที่เค้าดูแลเราตลอดทริป เค้าจัดรูปเสนอขายเป็นครอบครัวหรือเป็นคู่ค่ะ คู่เราได้มา 10 รูป ตกคนละ 800 บาท ก็ซื้อหมดค่ะ เพราะเค้าไม่มีค่าจ้างส่วนอื่น นี่คืรายได้ของเค้าตลอด 3 วันที่อยู่กับเราแถมที่ได้ไปนี่ยังโดนหักค่าหัวด้วยไม่ได้ได้เต็มๆนะ (สาบานจริงๆว่าการแต่งหล่อมาในวันขายรูปไม่มีผลกับปริมาณรูปที่ซื้อ 555+)

11. เงินช๊อปปิ้ง + เงินซื้อของกินเล่นรายทาง + เงินฝากช๊อป มาเกาหลีถ้ามีเพื่อน/ญาติผู้หญิง ไม่พ้นจะต้องโดนฝากซื้อเครื่องสำอางค์แน่นอนค่ะ เตรียมไปให้พอ แนะนำให้แลกเงินที่ superrich ได้เรทดีกว่าธนาคารค่ะ ถ้าไม่พอรูดการ์ดได้แต่เรทจะสูงกว่า ค่าเงินที่เราแลกมาคือ 0.031 ค่ะ แปลว่า 1,000 วอน = 31 บาท

12. ลิสต์รายการที่ต้องซื้อ โดยเฉพาะเครื่องสำอางค์ ปริ๊นรูป+ชื่อสินค้า+เบอร์+จำนวนมาเลยค่ะ พนง.ช่วยหาได้ ที่นี่ร้านน้อยกว่าโซล คนจะไปแออัดพร้อมกันค่ะ เตรียมไปก่อนจะได้รวดเร็ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น