วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มาลองร้านอาหารฝรั่งเศสระดับมิชลิน L’Atelier de Joël Robuchon ฉลอง Wongnai 5 years anniversary



เนื่องในโอกาสพิเศษครบรอบ 5 ปี จากวันที่วงในได้เปิดให้ผู้คนมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การทานอาหารกัน พร้อมทั้งกิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และเมื่อจะหาร้านอาหาร วงในก็เป็นเวป/แอปลำดับต้นๆที่เราจะเปิดมาหาข้อมูลร้านอาหารกัน วงในจึงได้ปิดร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์  เพื่อจัดงาน Wongnai Elite Party ขึ้นเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 5 ปีวงในอย่างเป็นทางการและเลี้ยงขอบคุณสุดยอดนักรีวิวบนWongnai ที่มีการแบ่งปันประสบการณ์การกินกันอย่างสม่ำเสมอ
 ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ไปร่วมปาร์ตี้ พบปะเพื่อนๆ Elite และเปิดประสบการณ์การทานอาหารในร้านอาหารระดับ Top 5 ของประเทศไทยที่ร้าน L’Atelier de Joël Robuchon เป็นครั้งแรกค่ะ
 
L’Atelier de Joël Robuchon หรือ “ห้องปฏิบัติการของ Joël Robuchon” เป็นร้านอาหารของเชฟ Joël Robuchon เจ้าของฉายา "เชฟแห่งศตวรรษ" ผู้ครอบครอง Michelin Star สัญลักษณ์ความอร่อยที่ได้รับการยอมรับอย่างสากล จำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการอาหาร คือ สูงถึง 25 ดวง โดยสาขาในประเทศไทยนี้ เป็นสาขาใหม่ล่าสุดเป็นลำดับที่ 9 ร้านอยู่ที่ตึกมหานครคิวบ์ ชั้น 5


การเดินทาง...
- เดินทางโดยรถไฟฟ้าBTS ลงสถานีช่องนนทรี (ทางลงอยู่หน้ามหานครคิวบ์เลยค่ะ)
- ขับรถมาจอดได้ที่ชั้นใต้ดินของมหานครคิวบ์

ร้าน L’Atelier de Joël Robuchon สาขานี้ตกแต่งในโทนแดงดำ ภายใต้แนวคิด “ครัวเปิดสุด exclusive” ที่ดูเป็นทางการน้อยลง แต่ยังคงคุณภาพอาหารละการบริการระดับดีเยี่ยม แบ่งเป็น 2 โซนคือ โซนบาร์นั่งหันหน้าเข้าหาครัว ที่สามารถดูการทำอาหารในครัวได้ และโซนโต๊ะนั่งแบบทางการ รวมถีงมึห้องส่วนตัวด้วยค่ะ ห้องมหานครชมวิวสวยๆของมหานครได้ ส่วนห้องคริสตัลนี่เป็นห้องทรงกลมห้อยเส้นคริสตัลจาก Swarovski แท้ๆทั้งหมดเลยค่ะ วิบวับเหมาะกับการมาถ่ายรูปมาก

โซนเคาเตอร์ครัวเปิด



มีห้องเก็บไวน์
โซนโต๊ะนั่ง

ห้องคริสตัลทรงกลม (ขออภัยค่ะเบลอมาก)


อาหาร.....

อาหารที่ได้ทานกันวันนี้ เป็นเมนูที่ทางร้านได้เลือกสรรมาแล้ว ว่าเป็นที่สุดของทางร้าน เสิร์ฟคู่กับไวน์ขาวและไวน์แดง เข้ากันอย่างลงตัว พร้อมขนมปังอบของทางร้านตลอดมื้ออาหารค่ะ ขอบอกว่าขนมปังนี่หอมนุ่มมาก



เริ่มที่จานแรก Pour Commencer – Chilled green kale veloute with spicy tomato jelly หรือก็คือมูสผักเคล(กะหล่ำชนิดนึง)เนื้อเนียน บนเยลลี่มะเขือเทศนั่นเอง แม้จะบอกกว่า spicy tomato แต่ไม่มีรสเผ็ดเลยค่ะ จานนี้ได้รสของผักและมะเขือเทศแบบเต็มๆ สำหรับคนไม่ทานมะเขือเทศ จานนี้ค่อนข้างจะทานยากซักหน่อย

Pour Commencer 


- Le King Crab ปูอลาสก้าในอโวคาโดโรล รองด้วยอโรม่าเกรปฟรุ๊ตเจลลี่ ตกแต่งด้วยดอกไม้เล็กๆดูสวยหวานมาก  รสของเกรปฟรุ๊ตหวานๆขมๆค่อนข้างเด่นกว่าอย่างอื่นๆในจาน เป็นเมนูที่อร่อยสดชื่นทีเดียว

Le King Crab

- La Cerise ซุปเย็นเชอรี่ผสมมะเขือเทศ พร้อมชีสรีคอตต้าและพิตตาชิโอฝาน รสมะเขือเทศชัดเจนเช่นเดียวกับจานแรกค่ะ ตอนแรกที่ได้กลิ่นมะเขือเทศนี่สับสนเหมือนกันเพราะบนคำอธิบายอาหารไม่มีเขียนเรื่องมะเขือเทศไว้ แต่บริกรมาอธิบายเพิ่มว่ามีมะเขือเทศด้วย เลยถึงบางอ้อ...(อ้อมิน่าทำไมเรากินไม่ค่อยได้ เรราไม่ใช่สาย Healthy ค่ะ สายเนื้อแท้ๆเลย)  ชีสอร่อยนุ่มละมุนมาก พิตตาชิโอก็มันๆดี

La Cerise

- La Caille จานหลักเป็นน่องนกกระทาและอกนกกระทาสอดไส้ฟัวกราส์ ชิ้นเล็กๆแต่รสชาติเข้มข้นมาก เสิร์ฟพร้อมPotato puree มันฝรั่งเศสบดเนื้อเนียน และซอสออกหวานนิดๆ เป็นจานที่ปลื้มเป็นพิเศษ โดยเฉพาะมันที่เนียนนุ่มมากๆค่ะ เค้าเดินมาเติมให้ด้วย อยากจะเติมอีกซักหลายๆช้อน

La Caille

- Fleur Caramel อย่างที่หลายคนว่าไว้ ของหวานเป็นจานที่สำคัญที่สุด และจะเติมเต็มมื้ออาหารนั้นๆ สำหรับ Fleur Caramel ถ้วยนี้ ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม กลายเป็นเมนูที่ชอบที่สุดของวันในใจของหลายๆคน ด้วยการนำเสนอที่สวยงาม ความพิถีพิถันในองค์ประกอบจำนวนมากในถ้วยๆนี้ เริ่มจากคาราเมลแผ่นบางรูปดอกไม้ เมื่อเปิดขึ้นมาจะเจอส้ม และครัมเบิลที่เมื่อทานเข้าไปแล้วจะไปดีดเป๊าะแป๊ะในปาก เพลินมาก พอตักลงไปจะเจอกับคัสตาร์ดเนื้อเนียนและเจลลี่ส้มหวานๆ ลงตัวจริงๆสำหรับเมนูนี้

Fleur Caramel

Fleur Caramel เสิร์ฟสวยมากๆ 

องค์ประกอบเยอะจริงๆ 

- ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยช็อกโกแลตคาราเมลตกแต่งสีทอง และชา/กาแฟร้อน ตัวช็อกโกแลตนี่เค้าแนะนำให้ทานในคำเดียวเลยค่ะ เพราะไส้ข้างในเยิ้มมาก เต็มคำมากค่ะ



 ในงานครั้งนี้ เชฟได้ทำ Anniversary cake มาให้ทางวงในด้วย เป็นเค้กช็อคโกแลตเนื้อมูสเย็นๆเคลือบด้วยช็อคโกแลตเงาวาวมากๆ  สอดไส้หวานๆ อร่อยจนอยากจะขอกลับบ้าน




การบริการ....

สำหรับร้านระดับนี้การบริการดีเยี่ยมแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ตั้งแต่การต้อนรับ กล่าวทักทายด้วยอัธยาศัยอันดี สอบถามก่อนว่าเราแพ้อาหารอะไรหรือเปล่า แนะนำรายละเอียดของอาหารที่นำมาเสิร์ฟทุกครั้ง มารยาทในการเสิร์ฟและเก็บจาน หรือแม้กระทั่งการเก็บผ้ากันเปื้อน (ที่รู้ได้เลยเพราะเราก็มักซะเผลอลุกไปถ่ายรูปบ้างทำนู่นนี่บ้างแล้วเผลอทำผ้าตกจากเก้าอี้โดยไม่รู้ตัวบ่อยๆ และเมื่อกลับมาถึงเก้าอี้จะพบผ้าวางพาดไว้ที่แขนเก้าอี้อย่างสวยงามทุกครั้ง)


ขอบคุณวงในที่เชิญมารับประสบการณ์ดีๆในวันนี้และ ขอแสดงความยินดีกับวงในอีกครั้ง ขอให้อยู่คู่นักกิน ใส่ใจและพัฒนาแอปเพื่อผู้ใช้ต่อๆไปนะคะ ^^

สารจากคุณยอด CEO วงในค่ะ
บทความจากวงใน >> https://www.wongnai.com/elite-pages/wongnai-elite-11
ข้อมูลร้าน

  • เปิดทุกวัน Lunch 11.30 - 14.30 Dinner 18.30 - 22.30
  • แนะนำให้โทรจองก่อนล่วงหน้าที่เบอร์ 02-001-0698 หรือจองที่ http://robuchon-bangkok.com/reservation/
  • Dress code : Smart Casual 
  • ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.robuchon-bangkok.com/

==============================================
ขออนุญาตปิดท้ายด้วยเรื่องห้องน้ำซักนิดนึง เพราะถึงแม้เรื่องกินจะเริ่งใหญ่ แต่เรื่องห้องน้ำก็ใหญ่ไม่แพ้กัน
ถึงแม้ว่าที่ลิฟท์จะระบุไว้ว่ามีห้องน้ำอยู่แค่ 2 ชั้น แต่จริงๆแล้วนี่น่าจะหมายถึงห้องน้ำที่อยู่นอกร้านต่างๆ ที่ผู้เดินทางมาที่ตึกสามารถใช้ได้มากกว่าค่ะ เพราะที่ร้านL’Atelier de Joël Robuchon นี้ ก็มีห้องน้ำในตัว โดยจะอยู่บริเวณข้างห้องเก็บไวน์ ของผู้หญิงแยกเป็น 2 ห้องใหญ่ๆ ในโทนสีดำ มีการดูแลเป็นอย่างดี (ตอนเราเข้าไปหลังจบงานซึ่งน่าจะมีคนเข้าไปก่อนเยอะมากแล้ว ทิชชู่ยังมีการพับเป็นสามเหลี่ยมเรียบร้อย ไม่มีรอยน้ำรอยเปื้อนใดๆเลย) 
เฉพาะรูปมุมขวาล่างคือห้องน้ำของร้านค่ะ ที่เหลือเป็นของชั้น 2
ส่วนที่ชั้นอื่น ลองไปเข้าที่ชั้น 2 ตกแต่งด้วยหินอ่อนสวยมากๆเช่นกัน โดยเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด ชอบอ่างล้างมือมากๆที่ก๊อกซ้ายเป็นสบู่โฟม ขวามือเป็ฯน้ำอุ่นแบบเซ็นเซอร์ทั้งคู่ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น